นักรบที่จะต่อสู้กับกิเลสที่มีอยู่มากมาย ที่ได้สะสมมาเนิ่นนานในอดีตนั้น ไม่ใช่ง่ายเลย ในชีวิตปัจจุบันทันที ที่เห็นได้ยิน ตามปกติอกุศลก็เกิดแล้ว เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวของการสะสมอกุศลจริงๆ ว่าในวันหนึ่งๆ นั้นมีมาก จะเห็นว่าถ้าไม่มีอาวุธที่จะออกรบสู้กับกิเลส กิเลสก็จะสะสมเพิ่มขึ้นอีก อาวุธที่สำคัญที่จะต่อสู้กับกิเลสก็คือ สติสัมปชัญญะที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎขณะนี้
สหายธรรมทุกท่าน ท่านมีอาวุธพร้อมที่จะออกรบหรือยังค่ะ?
ข้อความตอนหนึ่งจาก...
อรรถกถามหาสูญญตาสูตร
ก็เพราะภิกษุแม้ถึงจะเรียนสุตตปริยัติ แต่ไม่ปฏิบัติอนุโลมปฏิปทาสมควรแก่สุตตปริยัตินั้น เธอย่อมชื่อว่า ไม่มีอาวุธนั้น ส่วนภิกษุใดปฏิบัติ ภิกษุนั้นแหละตั้งชื่อว่า มีอาวุธ....
ดังนั้น ในชีวิตประจำวัน เพียงฟังพระธรรมผ่านไปวันๆ หนึ่งยังไม่พอ แต่ควรเป็นผู้น้อมประพฤติปฏิบัตตามพระธรรมคำสอน จึงจะสมควร และชื่อว่ามีอาวุธ ครับ
สาธุ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา นั้น เกื้อกูลแก่พุทธบริษัทผู้ที่มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาอย่างแท้จริง เป็นประโยชน์ทุกกาล ทุกสมัย ไม่จำกัดเพศไม่จำกัดวัย การได้ฟังพระสัทธรรมหาได้ยาก เพราะเหตุว่า ผู้ที่แสดงแต่ความจริงซึ่งเป็นสัจจธรรม นั้น หายากและประการสำคัญไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ฟังเหมือนกันหมดถ้าไม่ได้สั่งสมเหตุปัจจัยทีดีมา ย่อมไม่มีโอกาสได้ฟัง หรือเมื่อได้ฟังก็ไม่เข้าใจ
ดังนั้น เมื่อมีโอกาสได้ฟังแล้ว ก็ควรที่จะได้ฟังต่อไป ไม่ควรปล่อยโอกาสของการฟังพระธรรม ให้หลุดลอยไป (ไม่ล่วงขณะ) เพราะพระธรรมเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก ต้องอาศัยกาลเวลา ในการอบรมเจริญไปเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน (การฟังพระธรรม จะเป็นเครื่องลับปัญญาให้คมกล้า)
กิเลสซึ่งเป็นศัตรูภายใน เกิดขึ้นเป็นไปบ่อยมากในชีวิตประจำวัน ทั้งโลภะ โทสะ โมหะ เพราะได้สั่งสมมาอย่างเหนียวแน่นและเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ย่อมไม่มีทางที่จะเห็นโทษของอกุศลได้ ในแต่ละวันมีแต่โอกาสของอกุศลเกิดพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ และย่อมจะไม่มีอาวุธ คือปัญญาที่จะตัดกิเลสเหล่านั้นได้ ดังนั้นต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญา อบรมไปเรื่อยๆ ก็คงถึงได้ในสักวัน คือถึงการดับกิเลสได้ในที่สุด หนทางมีอยู่แล้ว คือการอบรมเจริญปัญญา ถ้าไม่ดำเนินไปตามทางนั้น จะเป็นความผิดของใคร จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดพิจารณาทีเดียวสมจริงดังคำที่ท่านสุเมธบัณฑิต กล่าวไว้ว่า "คนผู้ถูกศัตรูกลุ้มรุม เมื่อทางหนีไป มีอยู่ แต่ไม่หนีไป ข้อนั้นหาเป็นความผิดของทางไม่ ฉันใด คนที่ถูกกิเลสกลุ้มรุม เมื่อทางปลอดภัยมีอยู่ไม่ไปหาทางนั้น ข้อนั้น หาเป็นความผิดของทางที่ปลอดภัยนั้นไม่ ฉันนั้นเหมือนกัน"
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
อยากพูดว่าตัวเปล่าแท้ๆ ปราศจากอาวุธ (ปัญญา) แต่ที่จริงพกอาวุธ ทั้งตัณหา ทิฏฐิ มานะ ราคะ โทสะ ไว้ทำร้ายตัวเองเพียบแปล้ กำลังค่อยๆ สะสมความเข้าใจในการปลดมันอยู่ค่ะ และรู้ว่าต้องใช้เวลานานมาก เป็นจิรกาลภาวนา
ขออนุโมทนาพี่เมตตา
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะทุกท่านค่ะ
ควรเริ่มที่จะเห็นกิเลสอกุศลของตนว่าเป็นโทษอย่างไร และเป็นศัตรูเพราะเหตุใดและมีความตั้งใจจริงที่จะรบกับศัตรูนี้ เมื่อมีความตั้งใจจริงที่จะรบให้ชนะศัตรู ย่อมขวนขวายที่จะหาทางสะสมอาวุธ เสบียงอาหารและเวชภัณฑ์ รวมทั้งฝึกฝนอบรมการใช้อาวุธนั้นให้ชำนาญ ทำสงครามใหญ่ ต้องใช้ยุทธภัณฑ์และความพยายามมาก ... ขออวยพรให้นักรบทุกท่านจงประสบชัยชนะในที่สุด
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
ยังเป็นนักเรียนอยู่เลยค่ะยังต้องเรียนรู้อีกมากแต่ตั้งใจเรียน ... เพราะมั่นใจว่า "พุทธศาสตร์" คือ "วิชาควรค่าแก่การเรียนที่สุด" จะเรียนไปเรื่อยๆ และไม่หวังว่าจะเรียนจบเมื่อไร เพราะไม่สามารถทราบได้แต่ทราบว่า ถ้าไม่ทิ้งการเรียน ต้องเรียนจบ เพราะวิชานี้เรียนจบได้ตามเหตุปัจจัย และหากเรียนจบ ก็ไม่ต้องกลับมาขวนขวายเรียนวิชาไหนๆ อีก
ปัญญาเป็นอาวุธ สำหรับทำลายกิเลสค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
คิดว่าคงจะยังไม่ได้พกอาวุธที่แกร่งกล้าอะไรติดตัวไว้ในตอนนี้เพราะสิ่งที่มีอยู่นั้น เป็นอาวุธของศัตรูไปเสียหมดทั้งทิ่ม ทั้งแทง ฝังลึกลงไปจนไม่รู้ตัวถ้ารู้ตัว ก็คงจะรีบหาทางดึงมันออกโดยไวแต่ตอนนี้ยังไม่รู้ จึงยังหาอะไรดึงมันออกไปไม่ได้อาวุธที่จะต่อสู้กับศัตรูก็ดูเหมือนกับว่า "จะเล็กยิ่งกว่าไม้จิ้มฟัน"ตอนนี้มีเพียงยาสมานแผลทุกครั้งที่ได้ฟังพระธรรมแล้วเข้าใจแล้วก็เป็นยาชูกำลังให้มีแรงลับอาวุธ (ปัญญา) เพื่อสู้กับศัตรูต่อไปในกาลยาวนานแห่งสังสารวัฏฏ์นี้
ขออนุโมทนาครับ
กิเลสมีอาวุธเหนือกว่า ติดในลาภ ยศ สรรเสริญ และสุข ครับ
ขออนุโมทนาครับ