ทุกข์โทษภัยในวัฏฏะ - บุพกรรมของพระผู้มีพระภาค
โดย chatchai.k  1 มิ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 34330

สุ.   ถ้าไม่มีกิเลสแล้วว้าเหว่ เข้าใจว่าที่ว้าเหว่เพราะกิเลส ผู้ไม่มีกิเลสแล้วไม่ว้าเหว่เลย คนว้าเหว่คือคนมีกิเลส ธรรมนี้ขาดการฟังไม่ได้เลย การฟังธรรมของพระผู้มีพระภาคนั้น เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก เพราะว่าได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยฟัง พิจารณาติดตามต่อไปก็ย่อมจะได้ความเข้าใจ แล้วก็ได้เหตุผลชัดเจนยิ่งขึ้น ถ้าศึกษาพระ ธรรมวินัย ก็จะหวั่นกลัวต่อความเห็นผิด ความเข้าใจผิด กิเลสอกุศลทุกอย่างทุกประการไม่ว่าจะเล็กจะน้อย แม้ว่าจะเป็นการกล่าวคำไม่จริง เป็นสิ่งที่มีโทษมีภัย จะมากจะน้อยนั้นก็แล้วแต่ว่า ความเห็นผิดจะชักนำให้ประพฤติทุจริตร้ายแรงแค่ไหน ผลของกรรมก็ต้องมากมายแค่นั้นด้วย สำหรับเรื่องของการที่จะได้รับทุกข์โทษภัยในวัฏฏะ สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ก็จะเห็นได้ว่า ไม่มีใครสามารถจะล่วงรู้ไปถึงว่า การได้รับผลของกรรมแต่ละขณะนั้น เกิดขึ้นมาจากการกระทำตั้งแต่ครั้งไหน เมื่อไร ยังไง เพื่อที่จะให้เห็นพระมหากรุณาคุณของพระผู้มีพระภาค ซึ่งทรงพระมหากรุณาแสดงอดีตกรรมของพระองค์เอง

ในขุททกนิกาย ในพุทธาปาทาน ชื่อ ปุพพกัมมปิโลติ ที่ ๑๐ จะไม่กล่าวถึงบุพกรรมของพระผู้มีพระภาคที่ทรงแสดงไว้ทั้งหมด จะกล่าวเพียงบางข้อบางประการเท่านั้น ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคแวดล้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก ตรัสชี้แจงบุพกรรมทั้งหลายของพระองค์ ณ ที่นั้นว่าดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังกรรมที่เราทำแล้วของเรา กรรมแรกที่พระผู้มีพระภาคทรงปรารถนา การเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกนั้น ก็ในสมัยที่ชาติหนึ่ง ที่พระองค์ทรงเห็นภิกษุผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่ง แล้วได้ถวายผ้าเก่าพร้อมกันนั้นก็ปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผลของกรรมอันนั้น ก็ได้อำนวยให้ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาติสุดท้าย

อันนั้นเป็นความปรารถนาที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งแรกของพระองค์ ในกาลก่อน พระองค์เป็นนายโคบาล ต้อนโคไปเลี้ยง เห็นแม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่นมัว จึงห้าม ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ แม้พระองค์จะกระหายน้ำ ก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามปรารถนา อันนี้เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แม้แต่การห้ามแม่โคที่กำลังดื่มน้ำที่ขุ่นมัว ก็สามารถที่จะเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้ได้รับผลของกรรมในชาติหลังๆ ได้ ฉะนั้น ภพชาติเป็นสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ ตั้งแต่เกิดมา ถ้านึกย้อนถึงอดีตกรรม คนทำอะไรคงทำยิ่งกว่านี้ ยิ่งกว่าห้ามโคที่กำลังดื่มน้ำขุ่นมัว ฉะนั้น ก็แล้วแต่ว่ากรรมนั้นจะทำให้เกิดในภพไหน ภูมิไหน ก็เป็นเรื่องของวัฏฏะ

ในชาติอื่นในกาลก่อน เป็นนักเลงชื่อ ปุนนานิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อว่า "สุรภี" ผู้ไม่ประทุษร้ายตอบ ด้วยวิบากนั้น ท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานานด้วยผลกรรมอันเหลือนั้น ในภพหลังสุดนี้ พระองค์จึงได้รับคำกล่าวตู่เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา เพราะฉะนั้น ถึงแม้จะบำเพ็ญบารมีพากเพียรนานนับไม่ถ้วนอย่างไรก็ตาม เมื่อยังมีเหตุปัจจัย คือภพชาติ ก็ย่อมจะได้รับผลของกรรมนั้น ในกาลก่อน เพราะการกล่าวตู่พระเถระนามว่า นันทะ

สาวกของพระผู้มีพระภาคในสมัยนั้น จึงท่องเที่ยวในนรกนานถึงหมื่นปี เป็นมนุษย์แล้วได้รับการกล่าวตู่เป็นอันมาก ด้วยผลกรรมที่เหลือ นางจิญจมาณวิกากับหมู่ชนได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยถ้อยคำไม่จริง ในกาลก่อน พระผู้มีพระภาคฆ่าพี่น้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์ จับใส่ลงในซอกเขาแล้วบดคือทับด้วยหิน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหินลงมากระทบนิ้วหัวแม่เท้าจนห้อเลือด ในกาลก่อน เป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ใส่ไฟเผาทั่วหนทาง ด้วยวิบากกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ พระเทวทัตจึงชักชวนนายขมังธนูผู้ฆ่าคนตายมาก เพื่อให้ฆ่าพระองค์

ที่ทรงแสดงอดีตกรรมของพระองค์ ก็เพราะว่า ในสมัยนั้นมีผู้รู้มีผู้เห็นการกระทำของนางสุนทรี ของนางจิญจมาณวิกา หรือว่าของพระเทวทัต ซึ่งเมื่อมีเหตุการณ์ปรากฏอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคผู้ทรงมีพระสัพพัญญุตญาณ ก็ทรงแสดงให้เห็นถึงอดีตที่ผ่านมาว่า เป็นเพราะกรรมอะไร ในกาลก่อน พระผู้มีพระภาคได้บริภาษพระสาวกทั้งหลาย ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ผุสสะ ว่าท่านทั้งหลายจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง อย่ากิน ข้าวสาลีเลย ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระองค์อันพรามหณ์นิมนต์แล้ว อยู่ในเมือง เวรัญชา บริโภคข้าวแดงตลอด ๓ เดือน

ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคในชาติที่ชื่อว่า โชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่า กัสปะ ในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระองค์ได้ประพฤติกรรมอันทำได้ยากมาก คือทุกกรกิริยา ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่นั้นจึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่พระองค์ก็มิได้บรรลุพระโพธิญาณอันสูงสุด ด้วยหนทางนี้ พระองค์อันบุพกรรมตักเตือนแล้ว จักพึง แสวงหาโพธิญาณโดยทางที่ผิด หมายความถึงตอนที่ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา บัดนี้ พระองค์เป็นผู้สิ้นบาปและบุญ เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวง ไม่มีความเศร้าโศก ไม่มีความคับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพาน พระชินเจ้าทรงบรรลุกำลังแห่งอภิญญาทั้งปวงแล้ว ทรงพยากรณ์โดยหวังประโยชน์แก่ ภิกษุสงฆ์ด้วยประการฉะนี้ แล นี่เป็นเรื่องที่แสดงอดีตกรรม ก็จะได้ให้ท่านเห็นว่า ควรจะต้องสำรวมกาย วาจา ใจ เจริญกุศลทุกประการ ไม่ให้เกิดความเห็นผิด ไม่ให้มีการพูดผิด หรือว่าไม่ให้มีการประพฤติผิด เพราะว่า เรื่องของการที่จะขัดเกลากิเลสจนกว่าจะบรรลุความเป็นอริยบุคคลนั้น เป็นเรื่องที่จะต้องเจริญมากๆ บ่อยๆ เนืองๆ ด้วย มีท่านผู้ใดสงสัยบ้างไหมคะ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 1 มิ.ย. 2564

ขอเชิญรับฟังจาก...

ชุด แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 0013

เริ่มนาทีที่ 2 ครับ

ขอเชิญอ่านเพิ่มเติมจากพระไตรปิฎก...

พุทธาปทานชื่อปุพพกัมมปโลติที่ ๑๐ และ อรรถกถา


ความคิดเห็น 2    โดย Witt  วันที่ 14 มิ.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ