[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 506
๗. วันทนสูตร
ท้าวสักกะและท้าวสหัมบดีพรหมกล่าวคําสุภาษิต
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 25]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 506
๗. วันทนสูตร
ท้าวสักกะและท้าวสหัมบดีพรหมกล่าวคำสุภาษิต
[๙๒๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี.
ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหลีกเร้นอยู่ในที่พักกลางวัน. ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทพ และท้าวสหัมบดีพรหมเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นแล้ว ได้ประทับยืนพิงบานพระทวารอยู่องค์ละบาน.
[๙๒๖] ลำดับนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทพได้ตรัสพระคาถานี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้แกล้วกล้า ทรงชนะสงครามแล้ว ทรงปลงภาระลงแล้ว ไม่ทรงมีหนี้ ขอเชิญพระองค์เสด็จลุกขึ้นเที่ยวไปในโลกเถิด อนึ่ง จิตของพระองค์หลุดพ้นดีแล้ว เหมือนพระจันทร์ในราตรีวันเพ็ญ ฉะนั้น.
[๙๒๗] ท้าวสหัมบดีพรหมตรัสค้านว่า ดูก่อนจอมเทพ พระองค์ไม่ควรกราบทูลพระตถาคตอย่างนี้เลย แต่ควรจะกราบทูลพระตถาคตอย่างนี้แลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้แกล้วกล้า ทรงชนะสงครามแล้ว ทรงเป็นผู้นำพวก ไม่ทรงมีหนี้สิน ขอเชิญพระองค์เสด็จลุกขึ้นเที่ยวไปในโลก ขอเชิญพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรม จักมีผู้รู้ทั่วถึงพระธรรมเป็นแน่.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 507
อรรถกถาวันทนสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในวันทนสูตรที่ ๗ ต่อไปนี้ :-
บทว่า อุฏฺาหิ แปลว่า จงลุกขึ้น คือจงเพียรพยายาม. บทว่า วิชิตสงฺคาม ความว่า ท้าวสักกะเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงชำนะกิเลสมีราคะเป็นต้น และไพร่พลของมารประมาณ ๑๒ โยชน์. บทว่า ปนฺนภาโร ได้แก่ มีภาระคือขันธ์ กิเลส อภิสังขาร อันปลงลงแล้ว. บทว่า ปณฺณรสาย รตฺตึ คือกลางคืนขึ้น ๑๕ ค่ำ.
จบอรรถกถาวันทนสูตรที่ ๗