[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 383
๒. มหาอัสสาโรหชาดก
ว่าด้วยการทําความดีไว้ในปางก่อน
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 383
๒. มหาอัสสาโรหชาดก
ว่าด้วยการทําความดีไว้ในปางก่อน
[๕๐๖] ผู้ใดให้ทานในคนที่ไม่ควรให้ ไม่เพิ่มให้บุคคลที่ควรให้ ผู้นั้นถึงจะได้รับความทุกข์ในคราวมีอันตราย ก็ไม่ได้สหาย.
[๕๐๗] ผู้ใดไม่ให้ทานในคนที่ไม่ควรให้ ให้ในคนที่ควรให้ ผู้นั้นถึงได้รับความทุกข์ในคราวมีอันตราย ย่อมได้สหาย.
[๕๐๘] การแสดงคุณวิเศษแห่งความเกี่ยวพันและความสนิทสนมกันฉันท์มิตร ในชนทั้งหลายผู้ไม่มีอารยธรรม เป็นคนมักอวดย่อมไร้ผล การแสดงคุณวิเศษแห่งความเกี่ยวพันและความสนิทสนมกันฉันท์มิตร ที่กระทําในอารยชนทั้งหลายผู้ซื่อตรงคงที่ แม้กระทําในอารยชนทั้งหลายผู้ซื่อตรงคงที่ แม้เล็กน้อย ก็ย่อมมีผลมาก.
[๕๐๙] ผู้ใดได้ทําความดีงามไว้แต่กาลก่อนแล้วผู้นั้นชื่อว่าได้ทํากิจ ที่ทําได้แสนยากในโลก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 384
ภายหลังเขาจะทําหรือไม่ทําก็ตาม ชื่อว่าเป็นบุคคลผู้ควรบูชายิ่งนัก.
จบ มหาอัสสาโรหชาดกที่ ๒
อรรถกถามหาอัสสาโรหชาดกที่ ๒
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระอานันทเถระ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคําเริ่มต้นว่า อเทยฺ-เยสุ ททํ ทานํ ดังนี้.
เรื่องปัจจุบันได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล. แม้ในชาดกนี้พระศาสดาตรัสว่า แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลายก็ได้กระทําแล้วด้วยอํานาจอุปการะเกื้อหนุนแก่ตน แล้วทรงนําเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์ได้เป็นพระราชาในนครพาราณสีครองราชสมบัติโดยธรรม ให้ทาน รักษาศีล. พระเจ้าพาราณสีนั้นทรงพระดําริว่า จักทรงปราบชายแดนที่กําเริบให้สงบ จึงทรงแวดล้อมด้วยพลโยธาเสด็จไปปราบ ทรงพ่ายแพ้ จึงทรงขึ้นม้าเสด็จหนีไปถึงปัจจันตคามบ้านชายแดนแห่งหนึ่ง ชน ๓๐ คนผู้เป็นราชเสวกอยู่ในบ้านปัจจันตคามนั้น คนเหล่านั้นประชุมกันที่ท่ามกลางบ้านแต่เช้าตรู่กระทํากิจการในบ้าน. ขณะนั้น พระราชาเสด็จขึ้นทรงม้าที่ฝึกแล้ว ทั้งพระองค์ทรงประดับและตกแต่ง ด้วยเครื่องออกศึก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 385
เสด็จเข้าไปภายในบ้านทางประตูบ้าน. คนเหล่านั้นคิดว่า นี่อะไรกันจึงกลัวพากันหนีเข้าเรือนของตนๆ . ก็ในคนเหล่านั้น มีคนหนึ่งไม่ไปบ้านตน ทําการต้อนรับพระราชาแล้วถามว่า ข้าพเจ้าได้ยินข่าวว่าพระราชาเสด็จไปปัจจันตชนบท ท่านเป็นใคร เป็นราชบุรุษหรือจารบุรุษ. พระราชาตรัสว่า ดูก่อนสหาย เราเป็นราชบุรุษ. คนผู้นั้นจึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นท่านจงมา แล้วพาพระราชานั้นไปเรือนให้นั่งบนตั่งของตน แล้วกล่าวว่า นางผู้เจริญเธอจงมา จงล้างเท้าของสหาย ครั้นให้ภรรยาล้างพระบาทของพระราชานั้นแล้ว ให้อาหารตามสมควรแก่กําลังของตน แล้วปูลาดที่นอนโดยพูดว่า ท่านจงพักสักครู่หนึ่ง. พระราชาทรงบรรทมแล้ว. ฝ่ายชายเจ้าของบ้านได้เปลื้องเครื่องเกราะของม้าออกให้เดินได้ถนัด ให้ดื่มน้ำ เอาน้ำมันทาหลังแล้วให้หญ้า. เขาปฏิบัติพระราชาอย่างนี้ได้๓ - ๔ วัน เมื่อพระราชาตรัสว่า สหาย เราจักไปละ จึงได้กระทํากิจทั้งปวงอันเหมาะสมที่จะพึงทําแก่พระราชาและม้าอีกครั้ง. พระราชาเสวยแล้วเมื่อจะเสด็จไปได้ตรัสว่า ดูก่อนสหาย เราชื่อมหาอัสสาโรหะ บ้านของเราอยู่กลางพระนคร ถ้าท่านมายังพระนครด้วยกิจอะไรๆ ท่านจงยืนที่ประตูด้านทักษิณแล้วกล่าวกะนายประตูว่า คนชื่อมหาอัสสาโรหะอยู่บ้านหลังไหน แล้วพึงพานายประตูไปยังบ้านของเรา ตรัสดังนี้ แล้วก็เสด็จหลีกไป. ฝ่ายหมู่พลโยธาไม่เห็นพระราชา จึงตั้งค่ายพักอยู่นอกพระนคร ครั้นเห็นพระราชาแล้วต่างพากันลุกรับแวดล้อม. พระราชา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 386
เมื่อจะเสด็จเข้าพระนครได้ประทับยินที่ระหว่างประตู รับสั่งให้เรียกนายประตูมา ให้มหาชนถอยออกไปแล้วตรัสว่า ดูก่อนพ่อ ชาวบ้านปัจจันตคามคนหนึ่งมีความประสงค์จะมาพบเรา มาแล้วจักถามเธอว่าเรือนของนายมหาอัสสาโรหะอยู่ที่ไหน เธอพึงจับมือเขาไว้แล้วนํามาแสดงเราให้เขาเห็น. ในกาลนั้น เธอจักได้ทรัพย์พันหนึ่ง. ครั้นตรัสสั่งแล้วพระองค์ก็เสด็จเข้ายังพระราชนิเวศน์ ส่วนบุรุษนั้นก็ยังไม่มาเฝ้า. เมื่อบุรุษนั้นไม่มาเฝ้า พระราชาจึงให้เพิ่มพลีในบ้านที่เขาอยู่ เมื่อเพิ่มพลีแล้ว เขาก็ยังไม่มาเฝ้า. เมื่อเป็นอย่างนั้น จึงทรงให้เพิ่มพลี แม้ครั้งที่สอง แม้ครั้งที่สาม เขาก็ยังไม่มาเฝ้าอยู่นั่นเอง.ลําดับนั้น ชาวบ้านทั้งหลายจึงประชุมกันแล้วพูดกะบุรุษนั้นว่า ข้าแต่นาย นับตั้งแต่นายอัสสาโรหะของท่านมา พวกเราถูกกดขี่ด้วยพลีจนไม่อาจโงศีรษะขึ้นได้ ท่านจงไป จงบอกแก่นายมหาอัสสาโรหะของท่านให้ช่วยปลดเปลื้องพลีของพวกเรา. บุรุษนั้นกล่าวว่า ดีละเราจักไป แต่ว่าเราไม่อาจมีมือเปล่าไป สหายของเรามีเด็ก ๒ คนท่านทั้งหลายจงจัดแจงเครื่องนุ่งเครื่องห่มและเครื่องประดับ เพื่อเด็ก ๒ คนนั้น เพื่อภรรยาของเขา และเพื่อสหายเรา. ชาวบ้านเหล่านั้นกล่าวว่าได้ พวกเราจักจัดแจงให้ แล้วพากันจัดแจงเครื่องบรรณาการทุกอย่าง. บุรุษนั้นถือเอาเครื่องบรรณาการนั้น และขนมทอดในเรือนของตนไป ครั้นถึงประตูด้านทิศใต้ จึงถามนายประตูว่าดูก่อนสหาย เรือนของนายมหาอัสสาโรหะอยู่ที่ไหน นายประตูนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 387
กล่าวว่า ท่านจงมา เราจักแสดงแก่ท่าน. แล้วจับมือเขาพาไปยังประตูพระราชนิเวศน์แล้วส่งข่าวให้ทรงทราบว่า นายประตูพาบุรุษชาวบ้านปัจจันตคามมา. พระราชาพอได้ทรงสดับก็เสด็จลุกขึ้นจากพระอาสน์ตรัสว่า แม้สหายของเราเฉพาะมากับนายประตูนั้นเท่านั้น จงเข้ามาเถิด แล้วทรงทําการต้อนรับ พอทรงเห็นเท่านั้น จึงทรงทักทายบุรุษนั้นแล้วตรัสถามว่า หญิงสหายและพวกเด็กๆ ของเราไม่เจ็บไข้ได้ป่วยหรือ แล้วทรงจับมือพาขึ้นท้องพระโรง ให้นั่งบนอาสน์ภายใต้เศวตรฉัตร รับสั่งให้เรียกพระอัครมเหสีมาแล้วตรัสว่า พระนางผู้เจริญเธอจงล้างเท้าแม้แห่งสหายของเรา. พระอัครมเหสีนั้นได้ทรงล้างเท้าบุรุษผู้นั้น พระราชาทรงรดน้ำด้วยพระสุวรรณภิงคาร พระเทวีทรงล้างเท้าแล้วทาด้วยน้ำมันหอม. พระราชาตรัสถามว่า สหาย ของกินสําหรับพวกเราชนิดไรๆ มีบ้างไหม? บุรุษนั้นกล่าวว่ามี แล้วนําขนมออกมาจากกระทอ. พระราชาทรงรับด้วยจานทอง เมื่อจะทําการสงเคราะห์เอาน้ำใจเขาจึงตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงกินขนมที่สหายเรานํามาแล้วได้ประทานแก่พระเทวีและอํามาตย์ทั้งหลายแม้พระองค์เองก็ทรงเสวย. ฝ่ายบุรุษนั้นก็แสดงเครื่องบรรณาการแม้อย่างอื่นถวาย.เพื่อจะทรงสงเคราะห์เขา พระราชาจึงทรงเปลื้องผ้ากาสิกพัสตร์แล้วทรงนุ่งคู่ผ้าที่เขานํามาถวาย. ฝ่ายพระเทวีก็ทรงเปลื้องผ้ากาสิกสาฎกและเครื่องอาภรณ์ทั้งหลาย แล้วทรงนุ่งผ้าสาฎกที่เขานํามา แล้วทรงประดับเครื่องอาภรณ์. ลําดับนั้น พระราชาให้บุรุษสหายนั้นบริโภค
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 388
โภชนะอันควรแก่พระราชา แล้วทรงสั่งอํามาตย์คนหนึ่งว่า ท่านจงไปจงให้ช่างกระทําการโกนหนวดแก่บุรุษนี้ ตามทํานองที่ทําแก่เรานั่นแหละ แล้วให้อาบด้วยน้ำหอม ให้นุ่งผ้ากาสิกพัสตร์อันมีค่าแสนหนึ่งให้ประดับด้วยเครื่องอลังการสําหรับพระราชา แล้วจงนํามา. อํามาตย์นั้นได้กระทําเหมือนอย่างนั้น. พระราชาให้เที่ยวตีกลองป่าวร้องในพระนคร ให้อํามาตย์ทั้งหลายประชุมกัน แล้วให้พาดด้ายแดงกลางเศวตรฉัตร แล้วพระราชทานราชสมบัติกึ่งหนึ่งแก่บุรุษผู้สหายนั้น.จําเดิมแต่นั้น พระราชาทั้งสองนั้นก็ทรงร่วมเสวย ร่วมดื่ม ร่วมบรรทมด้วยกัน ความวิสสาสะคุ้นเคยได้แน่นแฟ้นอันใครๆ ให้แตกแยกไม่ได้. ลําดับนั้น พระราชารับสั่งให้เรียกบุตรและภรรยาของบุรุษผู้สหายนั้นมา ได้ให้สร้างนิเวศน์ในภายในพระนครพระราชทานพระราชาทั้งสองนั้น ต่างสมัครสมานรื่นเริงบรรเทิงใจ ครองราชสมบัติ. ต่อมาอํามาตย์ทั้งหลายพากันโกรธ พระเจ้าพาราณสีนั้นจึงทูลพระราชโอรสว่า ข้าแต่พระราชกุมาร พระราชาได้ประทานราชสมบัติกึ่งหนึ่งแก่คฤหบดีนี้ ร่วมเสวย ร่วมดื่มกับคฤหบดีนั้น ซ้ำให้พวกเด็กๆ ไหว้ ข้าพระบาททั้งหลายไม่ทราบถึงกรรมที่คฤหบดีนี้กระทําพระราชาทรงกระทําอะไร ข้าพระบาททั้งหลายรู้สึกละอาย ขอพระองค์จงทูลพระราชาด้วยเถิด. พระราชโอรสนั้นรับคําแล้ว จึงกราบทูลเรื่องราวนั้นทั้งหมดแด่พระราชา แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชขอพระองค์อย่าได้ทรงกระทําอย่างนี้เลย. พระเจ้าพาราณสีตรัสว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 389
ดูก่อนพ่อ บิดาแม้ในการรบ แม้ในกาลนั้นได้อยู่ ณ ที่ไหน เจ้าทราบหรือไม่เล่า. พระราชโอรสกราบทูลว่า ไม่ทราบพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า บิดาไปอยู่ในเรือนของคฤหบดีนี้ปลอดภัย แล้วกลับมาครองราชสมบัติ เมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุไร บิดาจึงจักไม่ให้สมบัติแก่ผู้มีอุปการะแก่เราเล่า. พระโพธิสัตว์ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว จึงตรัสว่าดูก่อนพ่อ ก็บุคคลใดให้แก่คนผู้ไม่ควรให้ ไม่ให้แก่บุคคลผู้ควรให้บุคคลนั้นถึงภัยอันตรายเข้า จะไม่ได้อุปการะเกื้อหนุนอะไรเลย เมื่อจะทรงแสดงต่อไปจึงตรัสคาถาเหล่านี้ว่า :-
ผู้ใดให้ทานในบุคคลที่ไม่ควรให้ ไม่เพิ่มให้ในคนที่ควรให้ ผู้นั้นถึงจะได้รับทุกข์ในคราวมีอันตราย ก็ไม่ได้สหาย ช่วยเหลือ.
ผู้ใดไม่ให้ทานในคนที่ไม่ควรให้ เพิ่มให้ในคนที่ควรให้ ผู้นั้นถึงได้รับทุกข์ในคราวมีอันตราย ย่อมได้สหาย ช่วยเหลือ.
การแสดงคุณวิเศษแห่งความเกี่ยวพันและความสนิทสนมกันฉันท์มิตร ในชนทั้งหลายผู้ไม่มีอารยธรรม เป็นคนมักโอ้อวดย่อมไร้ผล การแสดงคุณวิเศษแห่งความเกี่ยวพันและความสนิทสนมกันฉันท์มิตร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 390
ในอารยชนทั้งหลายผู้ซื่อตรงคงที่ แม้เล็กน้อยก็ย่อมมีผลมาก.
ผู้ใดได้ทําความดีงามไว้ก่อน ผู้นั้นชื่อว่าได้ทํากิจที่ทําได้แสนยากในโลก ภายหลังเขาจะทําหรือไม่ทําก็ตาม ข้อว่าเป็นบุคคลผู้ควรแก่การบูชายิ่งนัก.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อเทยฺเยสุ ได้แก่ ผู้ไม่เคยทําอุปการะมาก่อน. บทว่า เทยฺเยสุ ได้แก่ ผู้ทําอุปการะมาแล้ว. บทว่านปฺปเวจฺฉติ แปลว่า ไม่ให้เข้าไป คือ ไม่ให้. บทว่า อาปาสุแปลว่า ในคราวมีอันตราย. บทว่า พฺยสนํ ได้แก่ ความทุกข์บทว่า สฺโคสมฺโภควิเสสทสฺสนํ ความว่า การแสดงความวิเศษคือการแสดงคุณของการเกี่ยวพันกันและการกินอยู่ร่วมกัน ที่มิตรกระทําไว้ทั้งหมดนี้ที่ว่า ผู้นี้กระทําดีแก่เราแล้ว ย่อมพินาศ คือฉิบหายไป ในชนผู้ชื่อว่าอนารยชน เพราะเป็นผู้มีธรรมไม่หมดจดชื่อว่าผู้โอ้อวด เพราะความเป็นคนหลอกลวง. บทว่า อริเยสุ ได้แก่ชื่อว่าผู้ประเสริฐคือผู้บริสุทธิ์ เพราะรู้คุณที่เขาทําไว้แก่ตน. บทว่าอฺชเสสุ ได้แก่ ชื่อว่าผู้ซื่อตรง คือผู้ไม่คดโกง เพราะเหตุนั้นนั่นเอง. บทว่า อณุมฺปิ แปลว่า แม้มีประมาณน้อย. บทว่า ตาทิสุความว่า สิ่งที่กระทําในบุคคลผู้ประเสริฐ ผู้ชื่อตรง เช่นนั้น แม้จะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 391
น้อยก็มีผลมาก เหมือนพืชที่หว่านลงในนาดี ย่อมมีผลรุ่งเรืองแผ่ไพศาล แต่สิ่งที่กระทําในคนผู้ลามกนอกนี้ แม้จะมาก ก็ย่อมพินาศฉิบหายเหมือนพืชที่หว่านลงในไฟฉะนั้น. สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
พืชย่อมมอดไหม้ ไม้งอกงามในไฟแม้ฉันใด กิจที่ทําในอสัตบุรุษ ย่อมพินาศไม่งอกงาม ฉันนั้น ส่วนที่ทําในชนผู้มีความกตัญู มีศีล มีความประพฤติเยี่ยงอารยชนย่อมไม่ฉิบหายไปในที่นั้นๆ เหมือนพืชที่หว่านในนาดีฉะนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุพฺเพ กตกลฺยาโณ ได้แก่ผู้กระทําอุปการะไว้ก่อน. บทว่า อกา แปลว่า ได้กระทําแล้วอธิบายว่า ผู้นี้ได้กระทํา ชื่อว่าสิ่งที่ทําได้แสนยากในโลก. บทว่าปจฺฉา กยิรา ความว่า บุคคลนั้นจะได้กะทําหรือไม่ได้กระทําคุณความดีอะไรๆ อื่นในภายหลัง เพราะคุณความดีที่ทําไว้ก่อนนั้นนั่นแหละ. บทว่า อจฺจนฺตํ ปูชนารโห ความว่า ย่อมควรสักการะสัมมานะทุกอย่าง.
ก็พวกอํามาตย์และราชโอรสได้ฟังดังนี้แล้ว ก็มิได้กล่าวอะไรๆ อีกแล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 392
พระศาสดาครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า บุรุษชาวบ้านปัจจันตคามในครั้งนั้น ได้เป็นพระอานนท์ในบัดนี้ ส่วนพระเจ้าพาราณสีในครั้งนั้น คือเราตถาคตฉะนี้แล.
จบ อรรถกถามหาอัสสาโรหชาดกที่ ๒