มีคำกล่าวเรื่องพระไตรปิฎกเป็นเรื่องเล่า สนใจเฉพาะเนื้อแก่นธรรมก็พอ ช่วยแก้หน่อยครับ บางบทก็เป็นเรื่องเล่าจริงหรือไม่ ไม่อาจพิสูจน์ และก็มีมานาน กว่า ๒๕๐๐ ปี อาจมีการตกหล่น หรือเพิ่มเติม ด้วยถ้อยคำที่ไม่ใช่พุทธพจน์ หรือสาวกในยุคนั้น จริงทั้งหมด ซึ่งหลายท่านที่พูดมักเป็นปราชญ์ หรือผู้ที่นับถือศาสนาพุทธเอง ช่วยแก้อธิบายที มิฉะนั้นบางท่านก็อ้างพุทธพจน์ แต่บางครั้งก็ บอกพระไตรปิฎกเชื่อไม่ได้ทั้งหมด ไม่อยากขัดแย้ง แต่ก็ไม่อยากให้มิตรเสียหลัก
ในสมัยใกล้ปรินิพพาน ทรงตรัสว่า ธรรมวินัยที่แสดงไว้จักเป็นศาสดาแทนพระองค์พระอริยบุคคลทั้งหลายท่านเคารพในพระศาสดา พระธรรม พระสงฆ์ ท่านย่อมไม่กล่าวก่นพระธรรมวินัย (พระไตรปิฎก) เพราะพระไตรปิฎกที่สังคายนาโดยพระอรหันต์ ซึ่งท่านเหล่านั้นล้วนมีปัญญาดับกิเลสได้แล้วและได้รับรองว่าถูกต้องตรงกันทั้งหมด ดังนั้นคนในยุคนี้มีปัญญามากหรือมีปัญญาทรามกันแน่ที่กล้ากล่าวว่า เชื่อถือไม่ได้ทั้งหมด..
ที่พึ่งเดียว สรณะเดียว ที่เหลืออยู่ ให้เป็นสมบัติแก่มนุษย์ชาติ คือพระไตรปิฎก
พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบังคับให้ใครมาเชื่อตาม ไม่ได้ทรงห้ามไม่ให้คิด หรือไม่ให้ใครวิจารณ์พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงไว้ครับ ในครั้งพุทธกาล ก็มีพวกอัญเดียรถีร์ที่ไม่เชื่อตามพระพุทธองค์เพราะสั่งสมความเห็นผิดไว้อย่างเหนียวแน่น เพียงแต่มนุษย์ผู้ใด สั่งสมปัญญามาที่จะเป็นผู้ตรงและเป็นภาชนะที่สะอาดพอสมควร ที่จะสามารถรองรับ พระธรรมอันบริสุทธ์ของพระพุทธองค์ได้ จะอยู่ไกลเพียงใด ลำบากเท่าไร พระองค์ก็จะทรงเสด็จไปจนถึงด้วยพระบาท เพื่อที่จะทรงโปรดให้ผู้นั้นได้สดับฟังพระธรรมจนรู้แจ้ง เห็นธรรมอันลึกซึ้ง ด้วยพระปัญญาคุณ และพระมหากรุณาคุณของพระองค์ สุดท้ายผู้นั้นก็ได้บรรลุอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยบุคคล ถ้าเริ่มเห็นธรรมว่า เป็นจริงตามที่ทรงแสดงไว้ แล้วเริ่มเห็นอกุศลที่เกิดขึ้นในจิตของตนเองว่ามากมาย คำกล่าวข้างต้นนี้ก็ ไม่ควรที่จะออกมาจากปากของผู้มีปัญญา เพราะพระธรรมของพระพุทธเจ้าลึกซึ้ง ไม่ง่ายที่จะคิดตรึกเอาเอง แล้ววิจารณ์ด้วยปัญญาอันน้อยของปุถุชนว่าจริง หรือไม่จริง
เชิญคลิกอ่าน
จะต้องเป็นผู้ตรง จึงสามารถที่จะบรรลุอริยสัจธรรมเป็นอริยบุคคลได้
พระอรหันตสาวกทุกรูปดับ "มานะ" (ความสำคัญตน) เป็นสมุจเฉท ไม่มีเชื้อที่จะทำให้เกิดความยกตน สำคัญตน ว่าตนอยู่เหนือพระพุทธพจน์ที่ไม่มีสองของพระผู้มีพระภาคเจ้า การสังคายนาพระไตรปิฎกกระทำด้วยปัญญาของพระอรหันต์ ที่สามารถทรงจำพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ได้ทั้งหมด ไม่ได้กระทำด้วยปัญญาของพระอริยบุคคลขั้นพระอนาคามี พระสกทาคามี หรือพระโสดาบัน ซึ่งยังไม่ใช่ผู้ควรที่จะกระทำการสังคายนาได้ จะกล่าวไปใยถึงปุถุชนผู้ที่ยังหนาแน่นไปด้วยกิเลส ๑๕๐๐ ตัณหา ๑๐๘
เชิญคลิกอ่านครับ
กิเลส 1500
กิเลส 1500 .... ตัณหา 108
คำกล่าวของท่าน อ. สุจินต์ ท่านกล่าวว่า "ใครจะพูดอะไรก็แล้วแต่ เราในฐานะที่ เป็นผู้ฟังมีสิทธิที่จะพิจารณาก่อนที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อตามก็ได้" ใครเขาว่าพระไตรปิฎกไม่น่าเชื่อ เราไม่รู้ว่าเขาศึกษาดีพอหรือยัง เราเองต่างหากที่ศึกษาดีพอไหม? ถ้าเรายังศึกษาไม่ดีพอแต่เราจะเชื่อตามง่ายๆ ก็ช่วยไม่ได้ ไม่มีใครเขาบังคับให้เราต้องเชื่อเลย หรือเราจะไตร่ตรองหาเหตุผล สอบถามผู้รู้ และเป็นผู้ตรงต่อตนเอง พิจารณาความจริง ว่าความจริงก็ต้องเป็นความจริง เมื่อเป็นผู้ที่แสวงหาความจริง คือสัจจธรรม ก็ย่อมเป็น ผู้ที่จะสามารถเจริญปัญญาได้ แม้ขั้นฟังก็จะทำให้หมดความสงสัยไปเองทีละน้อย ความคลางแคลงใจในพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า หรือปัญญาของพระอริยสาวกก็ จะบรรเทาเบาบางลงไปเองครับ
เชิญคลิกอ่านครับ....
ประวัติการสังคายนาพระไตรปิฎก
ขอประวัติในการสังคายนาหน่อยมีกี่ครั้งแล้วครับ
ปัญญาไม่เกิด ก็ไม่รู้ว่าสิ่งใดถูกหรือสิ่งใดผิด จริงหรือไม่จริง
พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า สามารถพิสุจน์ได้ ไม่กำจัด กาล เวลา
ขออนุโมทนา
เคยอ่านเจอในพระสูตรเหมือนกัน เรื่องที่ว่า ยุคนี้ไม่เล่าเรียนธรรมโดยเคารพและจะเชื่อแต่คำกวี คำปราชญ์ ซึ่งก็เห็นๆ กันอยู่ในยุคนี้น่ะค่ะ ดังนั้น คำว่า กลียุค หรือยุคกิเลสหนาปัญญาน้อย ก็ไม่ใช่คำดูแคลนนะคะ แต่มันเป็น เช่นนั้นจริงๆ แม้แต่ดิฉันและคนที่นี่ ก็ต้องค่อยๆ เข้าใจไป เรื่อยๆ ไม่เหมือน ในสมัยพุทธกาลที่ผู้คนปัญญามาก เพราะสะสมปัญญามามากหลายอสงไขย จึงฟังแค่ประโยคเดียวแล้วบรรลุ
ยินดีในกุศลจิตค่ะ