[คำที่ ๔o๔] อตฺตทตฺถ
โดย Sudhipong.U  23 พ.ค. 2562
หัวข้อหมายเลข 32524

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “อตฺตทตฺถ”

คำว่า อตฺตทตฺถ เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า อัด – ตะ - ทัด - ถะ] มาจากคำว่า อตฺต (ตนเอง) กับคำว่า อตฺถ (ประโยชน์) ลง ท พยัญชนะเพิ่ม หลัง อตฺต จึงรวมกันเป็น อตฺตทตฺถ แปลว่า ประโยชน์ของตนเอง เมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน มีแต่สภาพธรรมเท่านั้น แต่เพราะมีสภาพธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นเป็นไป จึงหมายรู้ได้ว่า เป็นบุคคลนั้น บุคคลนี้ เป็นแต่ละบุคคล สำหรับคำว่า ประโยชน์ของตนเอง นั้น มีความหมายที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งในคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มุ่งหมายถึงการอบรมเจริญคุณความดีและอบรมเจริญปัญญา มีความเข้าใจถูกเห็นถูก สามารถดับกิเลสตามลำดับขั้น จนถึงบรรลุเป็นพระอรหันต์ ห่างไกลแสนไกลจากกิเลสซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตโดยประการทั้งปวง การบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ จึงเป็นประโยชน์ของตนเองที่สูงสุด ตามข้อความในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา สุราธเถรคาถา ดังนี้ ว่า

“ประโยชน์ของตน กล่าวคือ พระอรหัตต์ (ความเป็นพระอรหันต์) อันเป็นธรรมเครื่องสิ้นไปแห่งสังโยชน์ (อกุศลธรรมที่ผูกมัดหมู่สัตว์ไว้ในสังสารวัฏฏ์) ทั้งหลาย”


พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นเครื่องเตือนชีวิตที่ดีโดยตลอด เพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมคุณความดีประการต่างๆ รวมถึงปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก ขัดเกลาสิ่งที่ไม่ดีคือกิเลสที่แต่ละคนได้สะสมมาอย่างมากและยาวนานในสังสารวัฏฏ์ ถ้าหากจะมีคำถามให้ได้คิดพิจารณา ว่า ประโยชน์ที่เกิดมาในแต่ละชาติ คืออะไร? แต่ละคนก็อาจจะตอบกันไปคนละอย่าง เป็นแต่ละหนึ่ง ตามการสะสม ไม่เหมือนกันเลย แต่สำหรับผู้ที่ได้ยินได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง และได้สะสมความเห็นถูกที่เห็นประโยชน์สูงสุดในชีวิตที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่ได้อย่างยากแสนยาก ย่อมพิจารณาเห็นว่าทุกคนมาเกิดแล้วต้องตาย แต่ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าจะเป็นเมื่อใด เวลาใด สิ่งที่คิดว่าได้มาแล้วทั้งหมดทุกวัน แม้แต่เมื่อวานนี้ เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหน ความสุขเมื่อวานนี้อยู่ที่ไหน เรื่องสนุก อาหารอร่อย หรือ ลาภ ยศ สรรเสริญก็ตาม จะติดตามไปถึงโลกหน้าไม่ได้ เพราะแท้ที่จริงแล้ว เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วในหนึ่งชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้อะไร? ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมซึ่งเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่รู้คุณค่าเลยว่า สิ่งที่มีคุณค่าเหนือสิ่งอื่นใด ก็คือ ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่ออุปการะเกื้อกูลให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก เพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมโดยตลอด สิ่งที่มีประโยชน์หรือเป็นประโยชน์ต้องเป็นกุศล สิ่งที่เป็นอกุศลจะเป็นประโยชน์ไม่ได้ ใครคิดว่าอกุศลเป็นประโยชน์หรือทำอกุศลแล้วเป็นประโยชน์ นั่นคือ เป็นผู้ที่มีความเข้าใจผิดมีความเห็นที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง แต่ว่าประโยชน์จริงๆ ต้องเป็นกุศล เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นเป็นประโยชน์ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้าด้วย เพราะเหตุว่าเป็นการสะสมสิ่งที่ดีซึ่งจะต้องนำมาซึ่งผลของกุศลนั้นๆ แต่ยังไม่ใช่ประโยชน์สูงสุด ถ้าเป็นประโยชน์สูงสุด ต้องเป็นประโยชน์ที่เข้าใจถูกเห็นถูกซึ่งเป็นประโยชน์ของตนเองจริงๆ ที่ไม่ติดข้องในสิ่งที่ติดข้องมาแล้วทั้งรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) คนที่ได้รับสิ่งที่น่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจ มีความติดข้องไหม? อยากได้ในสิ่งที่จะทำให้มีความสุขมีความสบาย แต่ลืมไปว่าได้มาแล้วมีความติดข้องในสิ่งนั้นหรือเปล่า หรือว่าเป็นแต่เพียงให้เป็นประโยชน์ต่อการที่จะมีชีวิตอยู่ในแต่ละภพในแต่ละชาติเท่านั้น เพราะว่า เมื่อเกิดมาแล้ว ต้องมีการดำรงชีวิต สิ่งที่ให้ประโยชน์กับร่างกายที่จะให้ดำรงอยู่ ก็ต้องมี แต่ถ้าในขณะใดที่ไม่รู้เรื่องของกุศลและอกุศลเลย ก็พอกพูนความไม่รู้ต่อไป บางคนก็อาจจะกระทำสิ่งที่เป็นอกุศลแล้วคิดว่าเป็นประโยชน์ เพราะนำมาซึ่งสิ่งที่น่าพอใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ลาภ ยศ สรรเสริญต่างๆ ซึ่งอาจจะเข้าใจอย่างนี้ก็เป็นได้ ซึ่งไม่ตรงตามความเป็นจริง เพราะแท้ที่จริงแล้วสิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ก็คือ ขณะที่เป็นกุศล เพราะว่า ที่ใครจะได้อะไรที่เป็นสิ่งที่น่าพอใจในโลกนี้ อะไรนำมาให้ ต้องมาจากกุศลเท่านั้น ไม่ได้มาจากอกุศลเลย จึงต้องมีความเข้าใจให้ถูกต้องว่าสิ่งที่น่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจที่แต่ละคนได้รับในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุต่างๆ ที่ทำให้ชีวิตเป็นไปอย่างไม่เดือดร้อน เป็นต้น แท้ที่จริงก็เป็นผลของกุศลทั้งสิ้น เหตุกับผลต้องตรงกันตามความเป็นจริงของธรรม แต่ว่าเมื่อได้สิ่งที่น่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจแล้วหรือยังไม่ได้ก็ตาม ถ้าหากมีความติดข้องในสิ่งนั้น หรือ อยากได้สิ่งนั้น ขณะนั้น ต้องเป็นอกุศล ขณะที่เป็นอกุศล จะเป็นประโยชน์ไม่ได้ เพราะเหตุว่า กุศลเท่านั้นที่จะเป็นประโยชน์ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า แต่ว่าถ้าเป็นกุศลเพียงขั้นทาน ขั้นศีล ไม่ใช่ขั้นของการอบรมเจริญปัญญาให้มีความเข้าใจถูกจนกระทั่งสามารถที่จะละความติดข้องได้ นั่นก็ยังไม่ใช่ประโยชน์สูงสุด

ประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นประโยชน์ของตนเองจริงๆ นั้น ต้องเป็นประโยชน์ที่ทำให้เกิดปัญญา สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริง สามารถที่จะดับกิเลสได้ เพราะประโยชน์ของตนเองจริงๆ คือ การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสถึงความเป็นพระอริยบุคคลตามลำดับขั้นสูงสุดจนถึงความเป็นพระอรหันต์ ซึ่งกว่าจะไปถึงตรงนั้นได้นั้น ต้องไม่ละเลยโอกาสที่จะทำให้ตนเองได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้น จากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นการฟัง เป็นการศึกษาสิ่งที่มีค่าที่สุด มีประโยชน์ที่สุดสำหรับชีวิต

ควรที่จะได้พิจารณาจริงๆ ว่า ชีวิตแสนสั้น แล้วทุกคนจะทำอะไรที่จะเป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับชีวิตของตนเอง การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เป็นเหตุทำให้ปัญญาเจริญขึ้น ปัญญาไม่ได้นำทุกข์โทษภัยใดๆ มาให้เลยแม้แต่น้อย และเมื่อปัญญาเจริญขึ้น คุณความดีประการต่างๆ ก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นคล้อยตามปัญญา หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา จึงเป็นหนทางที่จะทำให้เกิดประโยชน์ของตนเองจริงๆ ที่สามารถทำให้ถึงการดับกิเลสได้อย่างแท้จริง ซึ่งจะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา.


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 15 มี.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ