รู้สึกว่าผมจะเคยถาม แล้วครับ แต่ไม่ได้ขึ้นหัวข้อ เลยหาไม่เจอครับ เป็นคำตอบของกัลยาณมิตรที่ยกมาจากพระไตรปิฏก พอจะเอาไปอ้างอิง หาไม่เจอครับ
เช่นเคลื่อนจาก จักขุทวาร ไปมโนทวาร เป็นต้น
แต่แน่นอน เคลื่อนออกไปจากกายไม่ได้อยู่แล้ว
แต่เราคงเคยได้ยิน กันถึงคำว่า ถอดจิต (ถอดจิต ไปเที่ยวที่นั่นๆ เช่นไปดูนรกเป็นต้น)
ตามหลักพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงว่า จิตเป็นนามธรรมจิตเกิดที่ไหนดับที่นั่น จิตไม่มีการเดินทางหรือเคลื่อนที่ได้ จิตเกิดจักขุ ย่อมดับที่จักขุ จิตที่เกิดทางมโนทวาร ย่อมดับที่มโนทวาร ดังนั้นเรื่องการถอดจิต หรือวิญญาณล่องลอย ไม่มีในพระธรรมคำสอนเลย เป็นเพียงการพูดกันไปเท่านั้น ความจริงไม่มีและเป็นไปไม่ได้ อนึ่ง ในสำนวนพระสูตร อาจจะมีคำว่า จิตท่องเที่ยวไป หรือคำว่าจิตแล่นไป คำนี้หมายถึงจิตคิดไปในสถานที่ หรือเรื่องราวต่างๆ ไม่ใช่เดินทางไปจริงๆ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอเชิญทุกท่านร่วมสนทนา
น้อมรับข้อความของ คุณprachern.s ค่ะ เป็นไปตามนั้นจริงๆ เรื่องของจิต เป็นนามธรรม ศึกษาและเข้าใจยาก ก่อนที่จะได้มีโอกาสฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์และกัลยาณมิตรดิฉันก็เคยเข้าใจว่าจิตต้องเป็นรูปธรรม เป็น ดวงๆ เหมือนในภาพยนตร์ ที่เคยดู หลังจากคอยศึกษาและฟังบ่อยๆ ก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้าง เข้าใจว่าจิตเกิดที่ใด ดับที่นั่นและชั่วขณะหนึ่งของจิตนั้นก็สั้นมาก เช่น ภาพปรากฎทางตา จิตทำหน้าที่เห็นเกิดร่วมกับเจตสิก ทำหน้าที่รู้สึกอารมณ์ต่างๆ แล้วดับไป จิตดวงใหม่ก็เกิดขึ้นทันที เกิดดับติดต่อกันไปไม่ขาดสาย (ถูกต้องไหมคะ ช่วยวิจารณ์หน่อย) และการที่ใครทั่วไปจะเข้าใจและเชื่อเรื่องวิญญาณล่องลอยและการถอดจิต ก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจจริงๆ ก็มันยากที่จะเข้าใจจริงๆ นะ อนุโมทนาทุกท่านค่ะ
จิตเกิดดับรวดเร็วสืบต่อทุกขณะ จิตเกิดได้ 6 ทวาร เท่านั้น
เช่น จิตเห็นเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น จิตออกจากร่างกายไม่ได้ค่ะ
จิตเคลื่อนที่ไม่ได้ เพราะเกิดที่ไหนดับที่นั่น แต่เป็นปัจจัยให้จิตที่เกิดสืบต่อ รู้อารมณ์เดียวกันได้ตามเหตุปัจจัย ทางตารู้สีสันอะไร ทางใจก็รับรู้สีสันนั้นต่อ ทางหูได้ยินเสียงอะไร ทางใจก็รับรู้เสียงนั้นต่อ เป็นจิตนิยาม-ความแน่นอนของลำดับการเกิดดับสืบต่อของจิต ไม่ใช่จิตดวงเดียวเคลื่อนที่ไปยังทวารต่างๆ แต่เป็นจิตแต่ละดวงที่เกิดดับสืบต่อกันไป รู้สิ่งที่ปรากฏทางทวารนั้นๆ ครับ ส่วนเรื่องการไปดูนรก ไม่ใช่ไปด้วยการถอดจิต พระผู้มีพระภาคไม่ได้ทรงแสดงไว้อย่างนี้ แต่ทรงแสดงว่านรกมีจริง เป็นที่รับผลของอกุศลกรรม คนธรรมดาๆ ไม่มีฤทธิ์ ไม่มีฌาน ไม่อบรมปัญญา อยู่ๆ จะไปดูนรก เป็นไปไม่ได้ แต่ในสมัยพุทธกาล ผู้คนเห็นนรกได้ พราะอาศัยพระมหากรุณาคุณของพระพุทธองค์ที่ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ เปิดเผยโลกอื่นๆ ให้สาวกได้เห็นครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
มีใครค้นพระไตรปิฏก หรือมิลินทปัญหา หรือ วิสุทธิมรรค หรือคัมภีร์อื่นๆ ที่แสดงชัดว่า
จิตเกิดที่ไหน ดับที่นั่น ได้ชัดๆ บ้างครับ รอคำตอบอยู่ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขอเชิญอ่านข้อความบางตอนจากพระไตรปิฎก
จิตดับแล้วไม่ไปที่ไหน [อุทยัพพยญาณนิทเทส] โดย แล้วเจอกัน ..............ชื่อว่าการไปสู่ทิศน้อยใหญ่ ย่อมไม่มีแม้แก่ขันธ์ที่ดับ, ชื่อว่าการตั้งลงโดยรวมเป็นกอง โดยสะสม โดยเก็บไว้ในที่แห่งหนึ่ง ย่อมไม่มีแม้แก่ขันธ์ที่ดับแล้ว. เหมือนนักดีดพิณ เมื่อเขาดีดพิณอยู่
เสียงพิณก็เกิด, มิใช่มีการสะสมไว้ก่อนเกิด, เมื่อเกิดก็ไม่มีการสะสม, การไปสู่ทิศน้อยใหญ่ออกเสียงพิณที่ดับไปก็ไม่มี, ดับแล้วไม่ว่าที่ไหนก็ไม่สะสมตั้งไว้, ฯลฯ
...........................
จิตที่ชื่อว่าจรณะ [เที่ยวไป] โดย บ้านธัมมะ
ข้อความในสังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค คัททูลสูตรที่ ๒ ข้อ ๒๕๙
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายย่อมเศร้าหมองเพราะจิตเศร้าหมอง สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์เพราะจิตผ่องแผ้ว ดูกร ภิกษุทั้งหลายจิตที่ชื่อว่าจรณะ (เที่ยวไป) เธอทั้งหลายเห็นแล้วหรือ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่าเห็นแล้ว พระเจ้าข้า
จิตเที่ยวไปอย่างไร .........ฯลฯ
..................ขออนุโมทนาค่ะ.................
ขอบคุณเหลือหลายครับ
ท่านเลี่ยงไปพูดว่า ขันธ์เกิดดับ ก็ดีแล้วครับ ทำให้ยกเว้นนิพพานไป เพราะนิพพานไม่
ใช่ขันธ์