ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นได้ชื่อว่าย่อมเห็นตถาคต
โดย nattawan  8 ก.ค. 2567
หัวข้อหมายเลข 48073

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ในอดีตสมัย ณ สาลวันอันเป็นที่แวะพักแห่งพวกเจ้ามัลละ เมืองกุสินารา พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงดับขันธปรินิพพานระหว่างไม้สาละคู่ หมดโอกาสที่สัตวโลกจะได้สดับพระธรรมเทศนาจากพระโอษฐ์อีกต่อไป

พระผู้มีพระภาคประทานพระธรรมวินัยที่ทรงแสดงแล้ว ไว้เป็นศาสดาแทนพระองค์เมื่อทรงดับขันธปรินิพพานไปแล้ว พุทธบริษัทย่อมถวายความนอบน้อมสักการะพระธรรมอันประเสริฐสุดของพระผู้มีพระภาค ตามความรู้ความเข้าใจในพระธรรมวินัย

แม้ผู้ใดเห็นพระวรกายของพระองค์ ได้สดับพระธรรมเทศนาจากพระโอษฐ์ หรือแม้ได้จับชายสังฆาฏิ
ติดตามพระองค์ไป แต่ไม่รู้ธรรม ไม่เป็นธรรม ผู้นั้นก็หาได้เห็นพระองค์ไม่ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นได้ชื่อว่าย่อมเห็นตถาคต

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง



ความคิดเห็น 1    โดย nattawan  วันที่ 8 ก.ค. 2567

ความเศร้าโศกเกิดเพราะอารมณ์อันเป็นที่รัก

เมื่อเห็นโทษภัยของความรัก ก็ควรมีเมตตา ความเป็นมิตร อุปการะ เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล เผื่อแผ่ปรารถนาดีต่อกันและกัน


ความคิดเห็น 2    โดย nattawan  วันที่ 8 ก.ค. 2567

การหลงยึดสภาพธรรมทั้งหลายว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล นั้น อุปมาเหมือนคนเดินทาง ในที่ซึ่งย่อมเห็นเหมือนกับว่ามีเงาน้ำอยู่ข้างหน้า

แต่เมื่อเข้าใกล้ เงาน้ำก็หายไปเพราะแท้จริงหามีน้ำไม่ เงาน้ำที่เห็นเป็นมายา เป็นภาพลวงตาฉันใด การเข้าใจผิดว่าสภาพธรรมทั้งหลายเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลเพราะความไม่รู้ เพราะความจำ เพราะความยึดถือก็ฉันนั้น

ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่วัตถุสิ่งต่างๆ


ความคิดเห็น 3    โดย nattawan  วันที่ 8 ก.ค. 2567

ถ้าไม่มีการเข้าใจ ลักษณะ ของสภาพธรรมะ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้

ไม่มีทาง

เพราะเหตุว่า ก็ยังคงไม่รู้ไปเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้น หนทางเดียว ที่จะ ละ ความเป็นเรา ก็คือ

เข้าใจสิ่งที่มี

แค่นี้เอง

แต่ว่า ต้องเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่กำลังปรากฏ

"รู้" เมื่อไหร่ ค่อยๆ ละ ไป

ทีละเล็ก ทีละน้อย

แต่ ทางอื่น ไม่มี

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่เลย
Wanchai Poo-ngarm


ความคิดเห็น 4    โดย nattawan  วันที่ 8 ก.ค. 2567

สติเป็นอนัตตา (สติคือสภาพที่ระลึกได้ ไม่มีเราไประลึก)
ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา


ความคิดเห็น 5    โดย nattawan  วันที่ 8 ก.ค. 2567

ถ้าตราบใดยังไม่แยกรู้ว่าโลกของปรมัตถ์ เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ โลกของสมมติบัญญัติคือความคิดนึกต่อจากปรมัตถ์ที่ปรากฏ ก็ไม่มีทางที่จะรู้ว่า การไม่มีตัวตน ไม่ใช่สัตว์บุคคลนั้นจริงๆ เพราะว่าเกิดแล้วดับ เหลือแต่ความคิดนึก

แนวทางเจริญวิปัสสนา


ความคิดเห็น 6    โดย nattawan  วันที่ 8 ก.ค. 2567

ความคิดนึกเกิดจากเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วก็นึกถึงรูปร่างสัณฐาน แล้วก็เห็นเป็นคน เป็นสัตว์ นี่ก็หมายความว่า เริ่มโลกของสมมติบัญญัติ เพราะว่าโลกของปรมัตถ์ เป็นโลกที่ไม่ต้องใช้ชื่อ ไม่ต้องคิดคำ ไม่ต้องคิดเรื่อง สิ่งนั้นมีจริงๆ อย่างเห็น ไม่ต้องเรียกอะไรเลย

แนวทางเจริญวิปัสสนา


ความคิดเห็น 7    โดย nattawan  วันที่ 8 ก.ค. 2567

กำลังเห็น เพียงแต่จะให้รู้ว่า ไม่ใช่ตัวตน เป็นสภาพรู้เป็นธาตุรู้ ต่างกับสิ่งที่ปรากฏทางตา นี้ก็ยากแล้ว แล้วสิ่งที่ปรากฏทางตายังไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ไม่ใช่วัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เพราะเพียงแต่หลับตาก็
ไม่มีแล้ว

แนวทางเจริญวิปัสสนา


ความคิดเห็น 8    โดย เฉลิมพร  วันที่ 8 ก.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย chatchai.k  วันที่ 8 ก.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 10    โดย เมตตา  วันที่ 9 ก.ค. 2567

กำลังเห็น เพียงแต่จะให้รู้ว่า ไม่ใช่ตัวตน เป็นสภาพรู้เป็นธาตุรู้ ต่างกับสิ่งที่ปรากฏทางตา นี้ก็ยากแล้ว แล้วสิ่งที่ปรากฏทางตายังไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ไม่ใช่วัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เพราะเพียงแต่หลับตาก็ไม่มีแล้ว

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

ขอบคุณ และยินดีในกุศลจิตค่ะ