ตามหลักพระธรรมคำสอน คือ จุติจิตเป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิจิต โดยอนันตรปัจจัย
คือเป็นปัจจัยโดยไม่มีระหว่างคั่น ทันทีที่จุติจิตดับ ปฏิสนธิจิตเกิดต่อทันที แม้ว่าภพ
ที่จะเกิดใหม่อยู่ไกลแสนไกล ก็สืบต่อกันทันทีรวดเร็วมากครับ
ท่าน prachern.s ครับจุติจิต ของคนต่างกันเพราะกรรมต่างกันหรือปฏิสนธิจิต ของคนต่างกันเพราะกรรมต่างกันหรือ
เรียนท่าน โสปิติอิ ครับ
ทั้งปฏิสนธิจิต และจุติจิตของสัตว์ทั้งหลายต่างกันก็เพราะกรรม ต่างกัน
เพราะ ปฏิสนธิจิต และจุติจิต เป็นชาติวิบาก เพราะมีเหตุคือ กรรม
กรรมสะสมในจิต ส่งผลเป็นวิบากจิต จุติจิต ปฏิสนธิจิต อันกอปรด้วยสัญญาเจตสิก
เจตนาเจตสิก ใช่หรือไม่ครับท่านprachern.s
กรรมสะสมในจิต ส่งผลเป็นวิบากจิต จุติจิต ปฏิสนธิจิต อันกอปรด้วยสัญญาเจตสิก
เจตนาเจตสิก ใช่หรือไม่ครับท่านprachern.s
ถูกแล้วครับ ขณะที่ผลของกรรมเกิดขึ้นจิตเป็นชาติวิบาก ซึ่งมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย
อย่างน้อย ๗ ประเภท และวิบากจิตกระทำกิจมากกว่าที่ท่านพูดถึงอีกครับ
วิบากจิตทำกิจหลายกิจครับ เช่น ปฏิสนธิกิจ ภวังค์ จุติ เห็น ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส
รู้โผฏฐัพพะ สัมปฏิจฉันนกิจ สันตีรณะ ตทาลัมพนะ
วิบากก็เป็นกิจ ย่อมเกิดจากกรรม
กุศลก็เป็นกิจ อกุศลก็เป็นกิจ อพยากฤตก็เป็นกิจ กริยาจิตก็เป็นกิจ
ย่อมเกิดจากอะไรครับ?
วิบากจิตก็เป็นจิตและมีกิจ เกิดจากกุศลกรรมและอกุศลกรรม
ส่วนกิริยาจิต ไม่ใช่จิตกุศล ไม่ใช่ชาติอกุศล ไม่ใช่ชาติวิบาก เกิดเพราะปัจจัย
คือเพียงเกิดขึ้นกระทำกิจแล้วดับไป ไม่ใช่เหตุ ไม่ใช่ผล ครับ
ขออนุโมทนาครับ