เห็นธรรมอย่างไร จึงชื่อว่าเห็นตถาคต
ผู้ที่เริ่มศึกษาพระธรรม คงยังไม่ได้ชื่อว่าเห็นตถาคตใช่ไหมครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เข้าใจทีละคำ เพื่อประกอบความเข้าใจที่ถูกต้อง ครับ
เห็น ใครเห็น ไม่มีใครที่เห็น ซึ่งสภาพธรรม โดยมาก ก็คือ เห็นได้ทางตา อาศัยตาทำให้เห็น แต่เมื่อพูดถึงการเห็นธรรม ธรรม คือ สภาพธรรมที่มีจริงที่เป็นจิต เจตสิก และรูป แต่ธรรมอะไรที่ควรเห็น ควรรู้ นั่นคือ สภาพธรรมที่ดี ซึ่งเป็น จิต เจตสิก เพราะฉะนั้น การเห็น ตา ไม่สามารถเห็นสิ่งที่เป็นนามธรรมที่เป็นจิต เจตสิกได้ แล้วอะไร ที่จะเห็นได้ ปัญญานั่นเองที่ทำให้เห็น ที่เรียกว่า ปัญญาจักษุ ตา คือ ปัญญา ที่จะเห็นตามความเป็นจริง เห็น ธรรม และธรรมอะไรที่ ชื่อว่าควรเห็น และเห็นเหมือนที่พระพุทธเจ้า (ตถาคต) เห็น หรือ ประจักษ์เหมือนกัน
ธรรม ในที่นี้ จึงมุ่งหมายถึง โลกุตตรธรรม 9 คือ มรรค 4 ผล 4 และพระนิพพาน นี่คือการเห็นด้วยปัญญาที่ประเสริฐ เพราะกุศลธรรมบางอย่างไม่ว่าทาน ศีล การอบรมสมถภาวนา แม้ไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ก็มีกันอยู่แล้ว มีผู้เห็น คือ รู้อยู่แล้ว การเกิดกุศลขั้นเหล่านี้จึงไม่ชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า ดังนั้น ธรรมที่พระองค์ทรงดำเนินและถึงการตรัสรู้ คือ มรรค 4 ผล 4 และพระนิพพาน ที่พระองค์ทรงประจักษ์ให้เกิดเป็นพระพุทธเจ้า พระธรรม ธรรมกาย จึงเป็นชื่อของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ผู้ใดเห็นธรรม คือ มีปัญญาที่เห็นประจักษ์ โลกุตตรธรรม 9 ผู้นั้น ชื่อว่าเห็นตถาคต เห็นพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น การได้อยู่ใกล้พระพุทธเจ้าที่มีพระชนม์อยู่ ได้เห็นด้วยตา ไม่ใช่เป็นการเห็นพระองค์ แต่การเห็นพระองค์ คือ มีปัญญาเข้าใจความจริง จนประจักษ์พระนิพพาน เกิดมรรค 4 ผล 4 ถึงการดับกิเลสตามขั้นต่างๆ ชื่อว่าเห็นพระองค์ เพราะเห็นพระปัญญาคุณ เห็นพระบริสุทธิคุณ และเห็นพระมหากรุณาคุณ ด้วยปัญญาของตนเองเป็นสำคัญครับ ซึ่งกว่าจะถึงการเห็นธรรม เห็นตถาคต ก็ด้วยการสะสมปัญญา ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมต่อไป ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่
ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเรา [วักกลิสูตร]
เมื่อไม่เห็นธรรม ก็ไม่เห็นเราตถาคต [อรรถกถา สังฆาฏิสูตร]
การเห็นด้วยจักษุและการเห็นด้วยญาณ [อรรถกถา นกุลปิตุสูตร]
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประโยชน์สูงสุดของการได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง คือ ได้เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงเป็นไปเพื่อละกิเลส มีความไม่รู้เป็นต้น เป็นไปเพื่อการตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เมื่อมีปัญญาคมกล้าเจริญสมบูรณ์พร้อมก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ตามลำดับมรรค สูงสุด คือ ถึงความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้วไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ เป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง ซึ่งพระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต มีพระภิกษุปัญญจวัคคีย์ พระยสกุลบุตร พระสารีบุตร พระมหาโมคคาลานะ เป็นต้น เป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ได้เห็นธรรมเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงเห็น
ในสมัยปัจจุบันนี้ ยังเป็นช่วงเวลาที่พระพุทธศาสนายังดำรงอยู่ ผู้ที่เข้าใจพระธรรมและแสดงพระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงก็ยังมีอยู่ จึงควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาต่อไป เพราะสังสารวัฏฏ์ เป็นเพียงที่พักชั่วคราวเท่านั้น เกิดในภพหนึ่งชาติหนึ่ง สั้นมาก พักแล้วก็ต้องเดินทางต่อไปอีกในสังสารวัฏฏ์ สิ่งที่จะเป็นที่พึ่ง และพึ่งได้อย่างแท้จริง คือ กุศลธรรม มีปัญญา เป็นต้น ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ผู้ที่บรรลุเป็นพระโสดาบัน ชื่อว่าเห็นธรรมของพระพุทธเจ้า ส่วนปุถุชนที่ศึกษาธรรมะ ยิ่งเข้าใจธรรม ยิ่งมีศรัทธา มีความเลื่อมใส ก็ชื่อว่าเริ่มที่จะอยู่ใกล้พระพุทธเจ้า ค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
อนุโมทนา คุณโยม
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ