- จิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุทั้งหมดมีเท่าไหร่? (มี ๑๘) ทำไมเป็นอเหตุกจิต? (เพราะจิตไม่ประกอบด้วยเหตุ) แสดงว่า จิตหลากมากจิตที่มีเหตุก็มี จิตที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยก็มีใช่ไหม? (ใช่ครับ) จิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ ๑๘ ดวงเป็นกี่ชาติ? (๒ ชาติ วิบากกับกิริยา) นี่เป็นสิ่งที่เรากล่าวถึงบ่อยๆ เพราะเหตุว่า ไม่ว่าจะเกิดที่ไหนก็ตามต้องมีจิตที่เป็นอเหตุกะ ไม่มีจิตที่เกิดที่ไหนเลยในนรก เป็นเปรต เป็นมนุษย์ เป็นเทพ เป็นเทวดา ที่จะไม่มีอเหตุกจิต.
- ได้ยินคำว่า จิต และก็มีหลากหลายมาก แต่แม้จิตคืออะไรยังไม่ได้ประจักษ์แจ้ง เพียงแต่เริ่มฟังเริ่มเข้าใจความเป็นไปของจิต.
- ถ้าไม่มีจิตที่เป็นอเหตุกจิตเกิดโลกก็ไม่ปรากฏ และถ้าไม่มีจิตซึ่งเป็นธาตุรู้เกิดเลย ก็ไม่มีอะไร.
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง และกราบยินดีในกุศลจิตของคุณสุคิน ด้วยค่ะ
- นี่แสดงความไม่รู้ ว่า ไม่รู้ว่าตั้งแต่เกิดทุกขณะต้องมีธาตุรู้เกิด เพราะฉะนั้น โลก หรือโลกะ ก็คือการเกิดของสิ่งต่างๆ แต่ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ความจริงทุกสิ่งทุกอย่าง จะไม่รู้จักเลยว่าขณะนี้เป็นอะไร.
- เดี๋ยวนี้มีจิตไหม? (มี) จิตเป็นอะไร? (จิตเป็นธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นรู้) เคยเข้าใจอย่างนี้ไหม? (ไม่เคย) เป็นประโยชน์อย่างยิ่งไหมที่รู้ความจริงของทุกชาติทุกสิ่งที่มี.
- ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่รู้เลย แสดงถึงความลึกซึ้งของสิ่งที่มีตลอดเวลาแต่ไม่ปรากฏให้รู้ตามความเป็นจริง.
- ขณะเกิด ปฏิสนธิต้องมี แต่หลากหลายมากทำให้มีคนต่างๆ มีสัตว์ประเภทต่างๆ เพราะปฏิสนธิจิตขณะแรกต่างกันจึงปรากฏว่า สิ่งที่เกิดต่างๆ กันเป็นคนบ้าง เป็นสัตว์บ้าง ฉลาดบ้าง โง่บ้าง ดีบ้าง ชั่วบ้าง.
- เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจจิตประเภทหนึ่งซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าจิตประเภทอื่น คืออเหตุกจิต ๑๘ ดวง การสนทนาธรรมทุกครั้งพูดถึงสิ่งที่เคยพูดแล้วเคยฟังแล้วพูดแล้วพูดอีกพูดแล้วพูดอีกเพื่อจะได้ไม่ลืมสิ่งที่ได้ฟังแล้ว และเข้าใจเพิ่มขึ้น เพราะถ้าไม่พูดถึงจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุที่มีทั้งวัน เราก็ลืมว่าขณะนี้ต้องมีจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ คืออเหตุกจิต.
- มีการเกิดเป็นคนเป็นสัตว์อยู่ตลอดเวลา แต่จิตที่เกิดเป็นคนเป็นสัตว์ต่างกันอย่างไร เราจะพูดถึงจิตที่เป็นอเหตุกะก่อนเพื่อที่จะได้เข้าใจ ว่า มีจิตที่เป็นอเหตุกะ แต่ไม่รู้.
- จิตเป็นธาตุรู้เกิดขึ้นรู้แต่จิตหลากหลาย เพราะฉะนั้น จิตที่รู้มีหน้าที่หรือกิจหลากหลายมากต่างๆ กันไป.
- สุนัขที่บ้านคุณอาช่าต่างกับเด็กเกิด คนเกิด เทวดาเกิด ใช่ไหม? (ค่ะ) เพราะฉะนั้น อเหตุกจิตทำปฏิสนธิกิจได้ไหม? (มีครับ เป็นสันตีรณะ) ไม่ได้ถาม ถามว่าอเหุตุกจิตทำปฏิสนธิกิจได้ไหม? (ไม่ได้ครับ) เห็นไหม ต้องไม่ลืมถ้าตอบเรื่องอื่นจะไม่ได้ความเข้าใจ แต่ถ้าคิดถึงคำถามตอบให้ตรงจะเพิ่มความเข้าใจขึ้นทีละน้อยๆ นี่คือความลึกซึ้งของธรรมที่ต้องศึกษาแบบนี้จึงสามารถที่จะรู้ความลึกซึ้งได้.
- เพราะฉะนั้น ฟังคำถามอีกครั้งหนึ่ง นี่เป็นการทบทวนที่เราพูดถึงเรื่องอเหตุกจิตเกือบครบ ๑๘ เราต้องเข้าใจแต่ละ ๑ ชัดเจน ไม่ใช่รีบร้อนที่จะจำชื่อจำเรื่องต่างๆ แต่ความเข้าใจสำคัญที่สุด.
- ต้องไม่ลืม จิตต่างกันหลากหลาย แต่รวมประเภทใหญ่ๆ เป็นเท่าไหร่? (๔ ครับ) อะไรคะ? (กุศล อกุศล วิบาก กิริยา) โดย ชา+ติ โดยชาติ คือการเกิดขึ้น แต่ถามถึงจำนวนทั้งหมดที่เป็นประเภทใหญ่ๆ เพราะทั้งหมดกล่าวไม่ได้เลยว่าเท่าไหร่ มากมายมหาศาลแต่เมื่อรวมเป็นประเภทใหญ่ๆ จิตทั้งหมดรวมเป็นประเภทใหญ่ๆ เท่าไหร่ เห็นไหมคะนี่เป็นการพิสูจน์การฟังคำถาม? (โดยนัยว่ามีเหตุ และไม่มีเหตุ ก็มี ๒ ครับ) ไม่ค่ะ ไม่ได้ฟังคำถาม จึงต้องฟัง จิตทั้งหมดหลากหลายเกินที่จะนับได้แสนโกฏประเภท แต่ประมวลแล้วเป็นประเภทใหญ่ ใหญ่ ใหญ่เป็นจิตจำนวนเท่าไหร่? (๒ ครับ) เท่านั้นเองหรือ? (๒ ครับ) อะไร? (อเหตุกจิต กับเหตุกจิตครับ) แต่ทั้งหมดรวมทั้งหมดเป็นเท่าไหร่? (๘๒ ครับ) หรือคะ (ก็คือ จำได้ประมาณนั้นโดยตัวเลขอาจไม่ถูก) เห็นไหม เห็นไหม ถ้าเราฟังตัวเลขจะมีประโยชน์ไหมเราลืมได้ ฟังอะไรก็ลืมได้ แต่ถ้าเรามีความเข้าใจแม้เพียง ๑ ที่มีจริงๆ รู้ว่ายังมีที่ไม่เข้าใจมากมาย เราเพิ่งจะรู้สิ่งที่ไม่รู้เลย เพียงเริ่มเข้าใจเท่าที่เรากำลังฟัง แสดงให้เห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งที่ไม่ประมาทเลยในการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
- เพราะฉะนั้น การจำจำนวนไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้น เราจะเริ่มทีละเล็กทีละน้อย เริ่มจากจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุก่อนเพราะมีทั้งวัน.
- อเหตุกจิตทั้งหมดมีเท่าไหร่? (๑๘) มีกี่ชาติ? (๒ ชาติ) นี่เริ่มที่จะไม่ลืม แล้วเข้าใจ ๒ ชาติคือชาติอะไรบ้าง? (วิบาก กับกิริยา) อเหตุกจิตที่เป็นวิบากมีเท่าไหร่? (๑๕) อีก ๓ เป็นอะไร? (กิริยา) แสดงว่าเป็นกุศล อกุศลไม่ได้ใช่ไหม? (ครับ) เพราะฉะนั้น อเหตุกะจิตที่เป็นวิบากทั้งหมดมีเท่าไหร่? (๑๕) ต่างกันเป็น ๒ ประเภทใช่ไหม? (ใช่) เป็นอะไร เท่าไหร่? (อกุศลวิบาก ๗ กุศลวิบาก ๘) .
- ถามว่า วิบากที่เป็นอเหตุกะทำปฏิสนธิกิจได้ไหม? (ไม่ได้) อกุศลวิบากทั้งหมดมีเท่าไหร่? (มี ๗) ทำปฏิสนธิกิจได้ไหม? (ไม่ได้) แมวเกิดเพราะจิตอะไร ปฏิสนธิจิตของแมวเป็นอะไร? (เกิดเป็นแมวเป็นผลของอกุศลครับ) ผิด ที่เป็นอกุศลวิบาก ผลของอกุศลมีเท่าไหร่? (๗ ครับ) อกุศลวิบากทำปฏิสนธิกิจได้ไหม? (ได้) เห็นไหม ต้องคิดไม่ใช่ให้จำ
- เพราะฉะนั้น อกุศลวิบากจิตมีเท่าไหร่? (มี ๗) อกุศลวิบากดวงไหนทำปฏิสนธิกิจ? (สันตีรณจิต) เพราะฉะนั้น อกุศลวิบากจิตทำปฏิสนธิกิจได้ไหม? (ได้) จิตอะไรทำปฏิสนธิได้ อเหตุกจิตอะไรทำปฏิสนธิกิจได้? (สันตีรณะ) อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากทำกิจเกิดเป็นชัางได้ไหม? (ได้) .
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ
- เพราะฉะนั้น สันตีรณอกุศลวิบากทำปฏิสนธิเป็นสัตว์เดรัจฉานได้แน่นอน และทำกิจอะไรอีกที่เป็นปฏิสนธิจิตเมื่อไหร่ ขณะไหน? (ทวนคำถามใหม่ด้วยครับ) หมายความว่า อกุศลวิบากที่เป็นสันตีรณะทำกิจปฏิสนธิเป็นช้างก็ได้ เป็นมดก็ได้ แล้วทำกิจปฏิสนธิอะไรอีกนอกจากช้าง มด เป็นอะไรอีกบ้าง? (ยกเว้นสุคติภูมิก็เกิดได้ทุกที่ครับ คือเป็นเปรตก็ได้) หมายความว่า เดี๋ยวนี้เข้าใจมั่นคงใช่ไหม อกุศลวิบากจิตเป็นผลของอกุศลกรรม ทั้งหมดมี ๗ แต่เฉพาะสันตีรณอกุศลวิบากเท่านั้นที่ทำปฏิสนธิกิจได้.
- ฆ่ามด เกิดในนรกได้ไหม? (ได้) เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืมนะ กรรมที่เป็นอกุศลทั้งหมดมากหรือน้อย เล็กหรือใหญ่ประการใดก็ตามสามารถที่จะทำให้ปฏิสนธิในอบายภูมิได้.
- ประมาทไม่ได้เลยกรรมเป็นสภาพที่ปกปิด แม้กรรมเล็กน้อยก็สามารถที่ทำให้เกิดในอบายภูมิ ในนรก เป็นสัตว์เดรัจฉานได้ เพราะว่าสภาพธรรมปกปิดไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่ากรรมใดจะให้ผลที่ไหน เมื่อไหร่.
- คนที่ทำกุศลไว้มากนะ แต่เพียงพูดไม่จริงก็ตกนรกได้ เช่น พระนางมัลลิกามเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นต้น.
- ใครไม่ตกนรก ใครไม่เกิดในอบายภูมิ? (พระอริยบุคคล) เพราะฉะนั้น ประมาทไม่ได้เลย.
- กุศลทุกชนิดทำให้เกิดในอบายภูมิได้ไหม? (ไม่ได้) .
- เพราะฉะนั้น อกุศลวิบากสันตีรณะทำกิจปฏิสนธิได้ แล้วกุศลวิบากที่เป็นอเหตุกะทั้งหมดมีเท่าไหร่? (มี ๘ ครับ) มี ๘ กุศลกรรมทำให้เกิดกุศลวิบากมากกว่า ๘ ได้ไหม? (ไม่ได้) ไม่ได้นะ เพราะฉะนั้น อกุศลกรรมทำให้เกิดอกุศลวิบากมากกว่า ๗ ได้ไหม? (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น ทำไมกุศลกรรมทำให้มีกุศลวิบากที่เป็นอเหตุกะ ๘ ต่างกันตรงไหน? (ต่างกันตรงที่สันตีรณะเป็นผลของกุศลมี ๒ ไม่ใช่ ๑ เหมือนตอนเป็นอกุศล คุณสุคิน: แล้วผมก็ถามต่อว่าทำไมมี ๒ ไม่ใช่ ๑ แกก็ตอบว่า เพราะเหตุต่างกัน เพราะถ้าเป็นกุศลแล้วมีกำลังมาก และน้อยต่างกันครับ) เพราะฉะนั้น สันตีรณะที่เป็นอเหตุกวิบาก ๒ ดวงต่างกันตรงไหน? (ต่างกันตรงดวงหนึ่งเป็นโสมนัสเวทนา อีกดวงหนึ่งเป็นอุเบกขา) .
- ต้องไม่ลืมนะ เพราะฉะนั้น อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบาก กับสันตีรณกุศลวิบาก ๒ มีกิจต่างกันไหม? (ไม่ทราบครับ) อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบาก กับสันตีรณกุศลวิบากทำกิจต่างกันหรือเหมือนกัน? (ถ้าพูดถึงสันตีรณะก็คือกิจเดียวกันนอกนั้นไม่ ... ) ถามเขาแล้วหรือ? (คุณสุคิน: ถามแล้ว เขาบอก ก็คือทีแรกที่บอก ผมเลยถามต่อว่า นอกจากกิจสันตีรณะมีอื่นอีกไหม แล้วต่างกันตรงไหน แกก็ตอบว่า ตอนที่อกุศลกรรมตามที่เราสนทนาก่อนหน้านี้ถ้าเป็นสันตีรณอกุศลวิบากทำกิจปฏิสนธิได้ แต่มาถึงสันตีรณกุศลวิบากตรงนั้นเขาไม่แน่ใจ) อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากทำได้กี่กิจ? (๒ กิจครับ ปฏิสนธิ กับสันตีรณะ) ๒ กิจเท่านั้นหรือ? (ทำกิจจุติ กับภวังค์ด้วยครับ) ทั้งหมดที่รู้จักแล้วนะ อกุศลวิบากสันตีรณะทำได้กี่กิจเท่าที่ทราบแล้ว? (๔ กิจ) .
- โสมนัสสันตีรณกุศลวิบากทำได้กี่กิจเท่าที่ทราบแล้ว? (๑ กิจ) ทำกิจอะไรไม่ได้? (ทำกิจปฏิสนธิ ภวังค์ และจุติไม่ได้) ถูกต้อง ยังมีอีกกิจหนึ่งที่เรายังไม่ได้กล่าวถึง เพราะว่ายังไม่ถึงเวลา เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่าอเหตุกอกุศลวิบากสันตีรณะทำได้ ๕ กิจ แต่สันตีรณะที่เป็นกุศลวิบากที่เป็นอเหตุกะโสมนัสทำได้ ๒ กิจ เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องของการที่จะเข้าใจธรรม ความลึกซึ้งของธรรมยิ่งกว่านี้มาก.
- เพราะฉะนั้น ธรรมไม่ใช่สำหรับจำแล้วก็ลืมแน่นอนถ้าเพียงจำ แต่ถ้ารู้จักธรรมเข้าใจธรรมละเอียดขึ้น ค่อยๆ ละคลายความเป็นเรา เพราะฉะนั้น นี่เป็นหนทางเดียวที่จะไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เพราะเข้าใจขึ้นในสิ่งที่กำลังมี นี่เป็นหนทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และหนทางที่จะเห็นคุณที่ทำให้สามารถรู้แจ้งความจริงที่กำลังมีขณะนี้ได้จนสามารถดับกิเลสได้ตามลำดับ.
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ
- เทวดามีอเหตุกจิตไหม? (มี) มดมีอเหตุกจิตไหม? (มี) ต้องไม่ลืมนะ ไม่ใช่เราแต่เป็นธรรมแต่ละหนึ่งที่หลากหลายมากที่กำลังมีปรากฏเดี๋ยวนี้ด้วย.
- อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบาก อุเบกขาสันตีรณอเหตุกกุศลวิบากต่างกันหรือไม่ต่างกัน กุศลวิบาก? กุศลวิบาก กับอเหตุกอกุศลวิบากสันตีรณะต่างกันหรือเหมือนกัน? (ไม่ต่างกันครับ) เดี๋ยวนะ ฟังดีๆ อเหตุกสันตีรณอกุศลวิบาก กับกุศลวิบากต่างกันหรือเหมือนกัน? (ต่างกัน) ตรงไหน? (อันหนึ่งเป็นผลของกุศลกรรม อีกอันหนึ่งเป็นผลของอกุศลกรรม) ทั้ง ๒ ทำกิจปฏิสนธิได้ไหม? (สันตีรณอกุศลวิบากทำกิจปฏิสนธิได้ สันตีรณกุศลวิบากทำกิจปฏิสนธิไม่ได้ครับ) เราพูดกันมาตั้งแต่ต้นนะ เห็นไหมต้องซ้ำแล้วซ้ำอีกในความสับสนในความต่างกันของจิตที่เป็นอกุศลวิบากอเหตุกสันตีรณะ กับจิตที่เป็นกุศลวิบากอเหตุกสันตีรณะ ต่างกันอันหนึ่งเป็นผลของกุศล อีกอันหนึ่งเป็นผลของอกุศลใช่ไหม? (ตรงนั้นทราบแล้วครับ) ย้ำซิ เท่าที่เราเรียนมาแล้วอเหตุกกุศลวิบากทำได้กี่กิจ? (๔ กิจ) .
- ฟังนะ อกุศลวิบากอเหตุกสันตีรณะทำได้ ๔ กิจใช่ไหมเท่าที่ทราบ (ใช่ครับ) ทั้งหมดทำได้ ๕ กิจแต่เราเพิ่งเรียน ๔ กิจนะ แล้วก็อเหตุกสันตีรณกุศลวิบากทำกิจได้กี่กิจเท่าที่ได้เรียนแล้ว? (เท่าที่สนทนามารู้ว่าทำสันตีรณะ ๑ กิจ อีกอันยังไม่ทราบ) เมื่อกี๊เราพูดใช่ไหมว่า อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากทำกี่กิจ และอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากทำกี่กิจเราพูดแล้วใช่ไหม? (๕ กับ ๒ ครับ) เรายังไม่พูดถึงกิจที่ ๕ นะ ๔ กิจเท่าที่พูดแล้วใช่ไหม อุเบกขาสันตีรณะทำได้กี่กิจตั้งตันใหม่? (ไม่ได้พูดถึงกุศล อกุศลใช่ไหมครับ?) เดี๋ยวนี้เราจะพูดอีกครั้งหนึ่ง ทบทวนใหม่เพราะคำตอบเขาไม่ถูก (ท่านอาจารย์ทวนถามใหม่ครับ) ถามว่า อเหตุกอกุศลวิบากที่เป็นอุเบกขาทำได้กี่กิจเท่าที่เรียนแล้ว ทั้งหมด ๕ กิจ แต่เราเรียนแล้ว ๔ กิจ? (๔ ครับ) อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากทำได้กี่กิจที่เรียนแล้ว? (๒ ครับ) กิจอะไรคะ ๒? (๑ คือสันตีรณกิจครับ อีกอันยังไม่ทราบ) เราพูดแล้วนะ ฟังดีๆ อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากทำได้ ๔ กิจที่เราได้เรียนแล้ว ยังมีอีก ๑ กิจที่ยังไม่ได้เรียน และอุเบกขากุศลวิบากอเหตุกสันตีรณทำได้ ๔ กิจเท่าที่เราได้เรียนแลัวใช่ไหม? (คุณสุคิน: ผมเองก็ไม่ได้จำอย่างนี้ เขาก็ไม่ได้จำอย่างนี้ ผมจำว่าไม่เหมือนกับอกุศลมันทำ ๔ กิจไม่ได้ มัทำปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ ไม่ได้) สันตีรณกุศลวิบากมี ๒ ต่างกันที่เวทนา (แต่เรายังไม่ได้พูดถึงตรงนี้ครับท่านอาจารย์) พูดแล้วตั้งแต่ต้นเลยว่า อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากทำปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ และสันตีรณะ ๔ กิจเท่ากัน สำหรับอุเบกขาสันตีรณะเราไม่ได้พูดถึงโสมนัสสันตีรณะ ดิฉันอาจจะพูดผิดก็ได้นะถ้าลืม แต่ว่าดิฉันคิดว่า ดิฉันได้พูดถึงกิจของอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากแล้ว.
- เพราะฉะนั้น ๒ ดวงต่างกันตรงไหน อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบาก กับ อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก ทำได้ ๔ กิจเท่าที่ทราบ อีกกิจหนึ่งยังไม่ได้กล่าวถึง ไม่ต่างกันในกิจใช่ไหม? (ไม่ต่างกันครับ) แต่ต่างกันที่ผลของกรรมและอกุศลกรรม เพราะฉะนั้น กุศลวิบากอเหตุกะที่เป็นอุเบกขาทำปฏิสนธิกิจได้ไหม? (ได้) ต่างกันตรงไหนทำปฏิสนธิเหมือนกันแล้วต่างกันตรงไหน? (ต่างกันที่ภูมิ อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากทำให้เกิดในอบายภูมิ ถ้าเป็นอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากทำให้เกิดในสุคติภูมิครับ) นี่คือความต่างแล้วใช่ไหม? (ต่างกันตรงที่ ถ้าเป็นอุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากทำให้เกิดในอบายภูมิ ถ้าเป็นอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากทำให้เกิดในภูมิที่สูงขึ้น) สูงขึ้นหมายความว่าอย่างไร? (หมายความว่า สุคติภูมิหมายถึงเกิดเป็นมนุษย์ และเทวดาครับ) เพราะฉะนั้น คนเราเกิดมาไม่เหมือนกัน คนที่เกิดด้วยอเหตุกะไม่มีเจตสิกฝ่ายดีเกิดร่วมด้วยเลย เพราะเป็นอเหตุกะ เพราะฉะนั้น กุศลกรรมมีต่างกันมากมาย กุศลกรรมอ่อนๆ ไม่มีกำลังทำให้เกิดกุศลวิบากที่เป็นสันตีรณะที่ทำกิจปฏิสนธิเพียงไม่ไปสู่อบายภูมิ แต่เป็นคนที่บ้า ใบ้ บอด หนวก พิการต่างๆ .
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ
- เพราะฉะนั้น เราสามารถที่จะรู้ได้ของความต่างทำไมเกิดมาพิการ บ้า ใบ้ บอด หนวกตั้งแต่กำเนิดเพราะเป็นผลของกุศลอย่างอ่อนที่ไม่ทำให้ไปสู่อบายภูมิ เกิดในสุคติภูมิแต่ว่าเป็นผู้ที่ไม่มีสติปัญญาไม่เป็นอย่างคนธรรมดา มีไหมคนอย่างนั้นเคยเห็นไหม? (มีครับ) เพราะฉะนั้น ทราบได้ว่าเป็นผลของกุศลที่อ่อนมากเพียงไม่ทำให้เกิดในอบายภูมิ เกิดเป็นมนุษย์แต่ผิดปกติ.
- แต่เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ยากที่จะรู้ได้ เพราะต้องเป็นตั้งแต่เกิด และเราไม่สามารถจะรู้ได้ว่ากรรมที่ทำให้เขาตาบอด หรือพิการตั้งแต่กำเนิดนั้นเป็นผลของกรรมอะไร เพราะเราไม่รู้ว่าขณะนั้นตั้งแต่เกิดต่อไปเขาจะตาบอด หูหนวกหรือเปล่า.
- พิการตั้งแต่กำเนิด หมายความว่าขณะที่อยู่ในท้องของแม่ถึงเวลาที่ตาจะเกิดก็ไม่เกิด ถึงเวลาประสาทหูจะเกิดก็ไม่เกิด.
- ถ้าเกิดแล้วเป็นปกติทุกอย่างแต่ภายหลังเกิดตาบอดไม่ใช่ปฏิสนธิด้วยอเหตุกะ ที่เป็นสันตีรณะ เกิดมาแล้วตาจะบอด หูจะหนวก แขนจะขาด อะไรก็ได้ เพราะกรรมหนึ่งที่ถึงเวลาให้ผล.
- ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องรู้ความละเอียดขณะไหนเป็นกรรม ขณะไหนเป็นผลของกรรมอะไร เมื่อไหร่ เกิดในโลกนี้เป็นมนุษย์เป็นผลของกุศลกรรม ถ้าไม่พิการตั้งแต่กำเนิดก็ไม่ได้เกิดด้วยอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก.
- คุณอาคิ่ล คุณอาช่า คุณมานิชเกิด ปฏิสนธิเป็นจิตอะไร? (ผลของกุศลกรรม) ค่ะ ที่ไม่ใช่สันตีรณกุศลวิบากอเหตุกะใช่ไหม? (ใช่) .
- เพราะฉะนั้น กุศลกรรมให้ผลเป็นกุศลวิบากมากกว่าอกุศลกรรมให้ผลเป็นวิบาก เพราะฉะนั้น คนต่างกันมาก คนที่มีผลดีมากๆ เป็นผลของกุศลกรรมมากๆ ที่มีกำลัง.
- บางคนฉลาด บางคนสนใจธรรม บางคนไม่สนใจเลย เพราะกรรมต่างกัน เพราะฉะนั้น คนที่เกิดเป็นมนุษย์เป็นคนดีทำกุศลแต่ไม่สนใจธรรมไม่ศึกษาธรรมไม่เห็นประโยชน์ เพราะไม่ใช่ผลขณะที่เกิดเป็นผลของกุศลกรรมที่ประกอบด้วยปัญญา เริ่มเข้าใจทุกวัน ทุกคนต่างกันมากทั้งกาย วาจา กุศลกรรมและอกุศลกรรม.
- มีอะไรสงสัยไหม? (คุณสุคิน: มานิชถามว่า ในชีวิตประจำวันบางทีมีคนทำไม่ดีต่อเขา ยกตัวอย่างมีคนทำไม่ดีต่อเรา ตรงนี้ หมายความว่าคนที่ทำนี่เป็นเหตุ และเราจะได้รับผล หรือว่าเราจะได้รับผลเพราะเหตุอื่น และตัวเขาเองที่ทำไม่ดีเขาจะได้รับผลของเขาภายหลัง) เป็นเรื่องที่เราจะค่อยๆ เข้าใจตามลำดับ เราดี เราชั่ว เพราะคนอื่นทำให้หรือเปล่า? (ไม่) เกิดเป็นคน เกิดเป็นนก เกิดเป็นช้าง เกิดเป็นเทพ คนอื่นทำให้หรือเปล่า? (ไม่) เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่า ๑ เป็น ๑, จิต ๑ เป็นจิต ๑ ไม่ใช่จิตอื่น.
- เปลี่ยนจิต แลกจิตกันได้ไหม? (ไม่ได้) เพราะอะไร? (เพราะจิตทุกคนเกิดด้วยเหตุปัจจัยของมันเอง ไม่ได้ไปยุ่งกับจิตคนอื่นที่มีเหตุปัจจัยอื่นครับ) เพราะอะไรอีก? (จิตเกิดแล้วดับทันทีไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับจิตอื่นครับ) เก่งมาก เกิดทันที ดับทันที ใครทำอะไรไม่ได้เลย เพราะเกิดแล้วดับแล้ว นี่เป็นความมั่นคงว่า เรากำลังเริ่มเข้าใจสิ่งที่ลึกซึ้งที่สุดที่กำลังมีอย่างนี้ มิเช่นนั้นไม่มีทางเข้าใจความจริงซึ่งมีแต่สภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้ และสภาพธรรมที่ไม่ใช่ธาตุรู้เท่านั้น.
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ
- ตั้งแต่เกิดจนตาย จิตเท่านั้นเกิดถ้าเรากล่าวถึงจิตอย่างเดียวนะ เกิดดับไม่กลับมาอีกไม่ซ้ำอีก และจะเป็นอะไรไม่ได้นอกจากเป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดดับจนกว่าจะจากโลกนี้ก็ยังต้องเกิดดับตามเหตุตามปัจจัย.
- รูปที่เกิดพร้อมปฏิสนธิจิตเริ่มโตขึ้นๆ ตามเหตุตามปัจจัยจนกระทั่งเกิดมาเป็นเด็กเล็กๆ ที่เพิ่งเกิดรูปร่างหน้าตาต่างๆ กัน แต่ไม่ใช่รูปเก่าตั้งแต่ปฏิสนธิแต่เป็นรูปที่เกิดดับสืบต่อจนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิตรูปร่างสัณฐานต่างๆ .
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทุกสิ่งที่มีจริงธรรมทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มจนถึงขณะสุดท้าย ทุกอย่างทรงแสดงโดยละเอียดว่า เกิดดับ ไม่ใช่อันเก่าเลยแต่เพราะความเร็วมากจนรวมกันปรากฏเป็นนิมิต รูปร่าง สัณฐานต่างๆ เป็นหญิงเป็นชาย เป็นต้น.
- การที่เริ่มเข้าใจตั้งแต่ต้นจากการฟังว่า เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดดับไม่กลับมาอีก สุญญตา อนัตตา จึงค่อยๆ ละความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และความเป็นเรา.
- ถ้าไม่ได้ฟังคำของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ก็จะเป็นผู้ที่ไม่รู้ความจริงเดี๋ยวนี้ จากเกิดมาไม่เห็นอะไรก็เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึกมากมายเป็นเรื่องต่างๆ เป็นเรา ความจริงเป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ ๆ ๆ เกิดดับสืบต่อตามปัจจัยมากมายหลากหลายทั้งในโลกนี้โลกอื่นๆ .
- ทุกวันจิตหลากหลายมากเป็นจิตที่เป็นเหตุและเป็นจิตที่เป็นผล เป็นจิตที่ประกอบด้วยเหตุและไม่ประกอบด้วยเหตุ เป็นต้น.
- ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าใจสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนถึงเดี๋ยวนี้ และต่อไปจนถึงตาย และเกิดอีก เพื่อรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วดับไปตามปัจจัย เพื่อเข้าใจถูกซึ่งเป็นความจริงแต่ละหนึ่งหลากหลายมากในชีวิตประจำวันทุกวัน เพื่อรู้ว่าไม่ต้องไปหาธรรมที่ไหนเลย เดี๋ยวนี้ทุกอย่างที่ปรากฏที่มีจริงๆ เป็นธรรม ไม่ว่าขณะนี้เป็นอะไรเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัยแล้วดับไปไม่เหลือเลย.
- สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ต้องเกิด ไม่เกิดไม่มี.
- ทุกวันตั้งแต่เกิดจนตายทุกขณะเป็นแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับ กำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้จะไม่จริงได้อย่างไร เพราะมีจริงๆ เกิดจริงๆ แต่ละหนึ่งเกิดดับตั้งแต่เราเริ่มฟังจนถึงเดี๋ยวนี้และต่อไปด้วย นี่เป็นการรู้ความจริงที่ต้องมั่นคงขึ้นจนสามารถรู้ขณะที่เกิดดับเป็นอริยสัจจธรรม.
- ต้องตรงตามความจริง สิ่งนี้เกิดดับรู้ได้จึงฟังจนกว่าจะค่อยๆ ถึงความจริงของธรรมปรากฏได้ทีละหนึ่ง แต่ทุกคำละเอียดมาก แม้แต่คำว่าทีละหนึ่งก็ต้องรู้ว่า โดยนัยอะไร.
- เริ่มรู้ความจริงว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงความจริงที่พระองค์ประจักษ์แจ้ง จะไม่มีการรู้สภาพธรรมแต่ละหนึ่งได้เลย ถ้าไม่รู้ความจริงอย่างนี้ก็จะต้องเกิดอีก มีเหตุที่ให้เกิดแล้วก็ตายอีกและก็เกิดอีกตายอีกไม่จบสิ้นด้วยความไม่รู้เลยในความเป็นจริงที่กำลังเริ่มเข้าใจเดี๋ยวนี้.
- ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้ค่อยๆ เริ่มรู้ความจริงของสิ่งที่มีตลอดชีวิต.
- รู้ว่า ความจริงในชีวิตคืออะไรบ้าง เริ่มตอบทีละคำ อย่าลืมนะ ทีละคำเดียวไม่ต้องมาก เดี๋ยวนี้มีอะไรตอบคำเดียว เดี๋ยวนี้มีอะไร? (อาช่าตอบว่า มีเห็น) คนอื่นจะตอบว่าอย่างไร? (มาธุ ตอบว่า คิด) คนอื่นละคะ? (มานิช ตอบ เห็น, อาคิ่ลตอบว่า ได้ยิน) คำตอบ ก็คือมีธรรมมีสิ่งที่มีจริงๆ แน่นอน และต่อไปก็หลากหลายมากเป็นแต่ละหนึ่ง ค่อยๆ เพิ่มค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีจริงเพราะธรรม คือสิ่งที่มีจริง.
- เพราะว่า ที่ตอบว่ามีธรรม ก็คือมีสิ่งที่มีจริงๆ ให้รู้ว่าเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ และรู้แค่ไหนค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้นจึงจะรู้ได้.
- เพราะฉะนั้น ที่ตอบว่ามีธรรมคือเตือนให้รู้ว่า มีสิ่งที่มีจริงๆ ที่ไม่ใช่เรา หรืออะไรเลยทั้งสิ้น มีสิ่งที่มีจริงๆ เพื่อตรงต่อความจริงในสิ่งที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่ง.
- เราก็เริ่มจะเข้าใจสิ่งที่มีจริง คือธาตุรู้ซึ่งไม่เกิดร่วมด้วยเหตุซึ่งมีอยู่ทุกขณะทุกวันทุกโลก เป็นแหล่งที่เกิดของความคิดต่างๆ เรื่องต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆ ทีเพิ่มขึ้นทุกวัน ถ้าไม่รู้ความจริงก็อยู่ในโลกด้วยความไม่รู้ด้วยความเข้าใจผิดด้วยความเห็นผิด ธรรมละเอียดไหม? (ละเอียดครับ) ธรรมลึกซึ้งไหม? (ลึกซึ้ง) ยากที่จะรู้ได้ไหม? (ยากครับ) สมควรที่จะรู้ไหม? (สมควรครับ) สมควรแล้วทำอย่างไรจึงจะรู้? (ฟัง และสนทนาธรรมครับ) ถูกต้อง จะหยุดไหม พอหรือยัง? (ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ฟังต่อไปไม่ควรหยุด) .
- ถ้ารู้แล้วเข้าใจบ้างแล้วควรให้คนอื่นได้รู้บ้างไหม? (มานิชตอบว่า เมื่อเขารู้ว่าเป็นประโยชน์กับเขาและเป็นสิ่งที่ควรรู้ ใครก็ได้ที่เขาสามารถจะช่วยได้เขาก็จะช่วย) และถ้าไม่เริ่มให้เขาเริ่มรู้เขาจะรู้ได้ไหม? (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น ทุกคนถ้าได้เริ่มก็ค่อยๆ เจริญขึ้นเข้าใจมากขึ้นเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์เป็นประโยชน์ที่สุดด้วย เพราะฉะนั้น ก็ยินดีด้วยในกุศลของทุกคนที่สะสมมาที่จะเห็นประโยชน์ แล้วก็เข้าใจธรรมโดยที่ว่า ไม่รีรอที่ว่าทุกโอกาสที่จะเข้าใจ และให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย.
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ
กราบอนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ