[เล่มที่ 3] พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓
พระวินัยปิฏก เล่ม ๑ ภาค ๓
มหาวิภังค์ ปฐมภาค
สมันตปาสาทิกาอรรถกถาพระวินัย
มหาวิภังค์วรรณนา ภาค ๒
เตรสกัณฑวรรณนา
สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๘
เรื่องพระทัพพมัลลบุตร 538/446
สมมติภิกษุผู้แต่งต้งเสนาสนะเป็นต้น 447
เรื่องพระเมตติยะและพระภุมมชกะ 542/450
เรื่องภิกษุณีเมตติยา 544/452
พระบัญญัติ 457
สิกขาบทวิภังค์ 546/457
บทภาชนีย์ไม่เห็น โจทว่าเห็นเป็นต้น 550/459
ความเห็น ๔ อย่าง 558/473
สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๘ 476
ปฐมทุฏฐโทสสิกขาบทวรรณนา 476
แก้อรรถกถาเรื่องพระทัพพมัลลบุตร 477
แก้อรรถกถาเรื่องพระเมตติยะและพระภุมมชกะ 484
พระทัพพมัลลบุตรถูกสอบสวน 486
เรื่องตีความหมายบาลีพระวินัยผิดตกลงกันไม่ได้ 490
แก้อรรถสิกขาบทวิภังค์สังฆาทิเสสที่๘ 493
อธิบายเรื่องอธิกรณ์มีมูลและไม่มีมูล 495
อธิบายลักษณะการโจทต่างๆ 498
อรรถกถาธิบายการโจท ๒ และ ๔ อย่างเป็นต้น 500
อธิบายโจทก์และจําเลยตามอรรถกถานัย 502
ว่าด้วยเรื่องทําตามปฏิญญาของจําเลยลัชชีและอลัชชี 505
ว่าด้วยองค์ของโจทก์และจําเลย 507
อธิบายคําว่าอธิกรณ์เป็นต้น 509
แก้อรรถบทภาชนีย์ 513
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 3]
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 446
สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๘
เรื่องพระทัพพมัลลบุตร
[๕๓๘] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์ ครั้งนั้น ท่านพระทัพพมัลลบุตรมีอายุ ๗ ปี นับแต่เกิดได้ทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัต คุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งสาวกจะพึงบรรลุท่านได้บรรลุแล้วโดยลำดับทั้งหมด อนึ่ง ท่านไม่มีกรณียกิจอะไรที่ยิ่งขึ้นไป หรือกรณียกิจที่ท่านทำเสร็จแล้ว ก็ไม่ต้องกลับสั่งสมอีก.
[๕๓๙] ครั้งนั้น ท่านพระทัพพมัลลบุตร ไปในที่สงัด หลีกเร้นอยู่ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า เรามีอายุ ๗ ปี นับแต่เกิด ได้ทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัต คุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งสาวกจะพึงบรรลุ เราได้บรรลุแล้วโดยลำดับทุกอย่าง อนึ่งเล่า เราไม่มีกรณียกิจอะไรที่ยิ่งขึ้นไป หรือกรณียกิจที่ทำเสร็จแล้วก็ไม่ต้องกลับสั่งสมอีก เราควรทำการช่วยเหลืออะไรหนอแก่สงฆ์ ลำดับนั้น ท่านพระทัพพมัลลบุตรได้คิดตกลงใจว่า ผิฉะนั้น เราควรแต่งตั้งเสนาสนะ และแจกอาหารแก่สงฆ์ ครั้นท่านออกจากที่เร้นในเวลาเย็นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นถวายบังคม นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าไปในที่สงัด หลีกเร้นอยู่ ณ ตำบลนี้ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ข้าพระพุทธเจ้ามีอายุ ๗ ปีนับแต่เกิด ได้ทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัตแล้ว คุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งสาวกจะพึงบรรลุ ข้าพระพุทธเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับทุกอย่าง อนึ่งเล่า ข้าพระพุทธเจ้าไม่มีกรณียกิจอะไรที่ยิ่งขึ้นไป หรือกรณียกิจที่ข้าพระ-
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 447
พุทธเจ้าทำเสร็จแล้วก็ไม่ต้องกลับสั่งสมอีก ข้าพระพุทธเจ้าควรทำการช่วย เหลืออะไรหนอแก่สงฆ์ พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าติดตกลงใจ ว่า ผิฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้าควรแต่งตั้งเสนาสนะและแจกอาหารแก่สงฆ์ ข้าพระพุทธเจ้าปรารถนาจะแต่งตั้งเสนาสนะ และแจกอาหารแก่สงฆ์ พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดีละ ดีละ ทัพพะ ถ้าเช่นนั้น เธอ จงแต่งตั้งเสนาสนะและแจกอาหารแก่สงฆ์เถิด
ท่านพระทัพพมัลลบุตรกราบทูลรับสนองแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อย่างนั้นพระพุทธเจ้าข้า.
สมมติภิกษุผู้แต่งตั้งเสนาสนะและแจกอาหาร
[๕๔๐] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำธรรมีกถา ใน เพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุ ทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น สงฆ์จงสมมติทัพพมัลลบุตรให้เป็นผู้แต่งตั้งเสนาสนะและแจกอาหาร
วิธีสมมติ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงสมมติอย่างนี้ เบื้องต้นพึงขอ ให้ทัพพะรับ ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบ ด้วยญัตติทุติยกรรมวาจาว่าดังนี้:-
กรรมวาจาสมมติ
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึง ที่แล้ว สงฆ์พึงสมมติท่านพระทัพพมัลลบุตร ให้เป็นผู้แต่งตั้งเสนาสนะ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 448
และแจกอาหาร นี่เป็นญัตติ ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์ สมมติท่านพระทัพพมัลลบุตร ให้เป็นผู้แต่งตั้งเสนาสนะและแจกอาหาร การสมมติท่านพระทัพพมัลลบุตร ให้เป็นผู้แต่งตั้งเสนาสนะและแจก อาหาร ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด ท่านพระทัพพมัลลบุตร อันสงฆ์สมมติให้เป็นผู้แต่งตั้ง เสนาสนะและแจกอาหารแล้ว ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรง ความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
[๕๔๑] ก็แล ท่านพระทัพพมัลลบุตร อันสงฆ์สมมติแล้วย่อม แต่งตั้งเสนาสนะรวมไว้เป็นพวกๆ สำหรับหมู่ภิกษุผู้สม่ำเสมอกัน คือ ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ทรงพระสูตร ท่านก็แต่งตั้งเสนาสนะรวมภิกษุเหล่านั้น ไว้แห่งหนึ่ง ด้วยประสงค์ว่าพวกเธอจักซักซ้อมพระสูตรกัน ภิกษุเหล่าใด เป็นผู้ทรงพระวินัย ท่านก็แต่งตั้งเสนาสนะรวมภิกษุเหล่านั้นไว้แห่งหนึ่ง ด้วยประสงค์ว่า พวกเธอจักวินิจฉัยพระวินัยกัน ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ทรง พระอภิธรรม ท่านก็แต่งตั้งเสนาสนะรวมภิกษุเหล่านั้นไว้แห่งหนึ่ง ด้วย ประสงค์ว่า พวกเธอจักสนทนาพระอภิธรรมกัน ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ได้ ฌาน ท่านก็แต่งตั้งเสนาสนะรวมภิกษุเหล่านั้นไว้แห่งหนึ่ง ด้วยประสงค์ ว่า พวกเธอจักไม่รบกวนกัน ภิกษุเหล่าใดชอบกล่าวดิรัจฉานกถา ยังมี การบำรุงร่างกายอยู่มาก ท่านก็แต่งตั้งเสนาสนะรวมภิกษุเหล่านั้น ไว้แห่ง หนึ่ง ด้วยประสงค์ว่าท่านเหล่านี้จักอยู่ด้วยความยินดีแม้นี้ ภิกษุเหล่าใด มาในเวลาค่ำคืน ท่านก็เข้าจตุตถฌานมีเตโชกสิณเป็นอารมณ์ แล้วแต่งตั้ง เสนาสนะแม้สำหรับภิกษุเหล่านั้นโดยแสงสว่างนั้นนั่นแล ภิกษุทั้งหลาย ย่อมแกล้งมาแม้ในเวลาค่ำคืน ด้วยประสงค์ว่า พวกเราจักได้ชมอิทธิ-
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 449
ปาฏิหาริย์ของท่านพระทัพพมัลลบุตรดังนี้ก็มี ภิกษุเหล่านั้นเข้าไปหา ท่านพระทัพพมัลลบุตรแล้วพูดอย่างนี้ว่า พระะคุณเจ้าทัพพะ ขอท่านจง แต่งตั้งเสนาสนะให้พวกกระผม ท่านพระทัพมัลลบุตรถามภิกษุเหล่านั้น อย่างนี้ว่า ท่านปรารถนาจะอยู่ที่ไหน กระผมจะแต่งตั้งให้ ณ ที่ไหน ภิกษุเหล่านั้นแกล้งอ้างที่ไกลๆ ว่า พระคุณเจ้าทัพพะ ขอท่านจงแต่งตั้ง เสนาสนะให้พวกกระผม ที่ภูเขาคิชฌกูฏ ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้ พวกกระผมที่เหวสำหรับทิ้งโจร ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวกกระผม ที่กาฬศิลาข้างภูเขาอิสิคิลิ ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวกกระผมที่ถ้ำ สัตตบรรณคูหาข้างภูเขาเวภาระ ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนให้พวกกระผม ที่เงื้อมเขาสัปปโสณฑิกะใกล้สีตวัน ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวก กระผมที่ซอกเขาโคมฏะ ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวกกระผมที่ซอก เขาตินทุกะ ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวกกระผมที่ซอกเขากโปตะ ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวกกระผมที่ตโปทาราม ขอท่านจงแต่งตั้ง เสนาสนะให้พวกกระผมที่ชีวกัมพวัน ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวก กระผมที่มัททกุจฉิมฤคทายวัน ท่านพระทัพพมัลลบุตรจึงเข้าจตุตถฌานมี เตโชกสิณเป็นอารมณ์ มีองคุลีส่องแสงสว่างเดินนำหน้าภิกษุเหล่านั้นไป แม้ภิกษุเหล่านั้นก็เดินตามหลังท่านพระทัพพมัลลบุตรไปโดยแสงสว่างนั้น แล ท่านพระทัพพมัลลบุตรแต่งตั้งเสนาสนะสำหรับภิกษุเหล่านั้น โดย ชี้แจงอย่างนี้ว่า นี่เตียง นี่ตั่ง นั่นฟูก นี่หมอน นี่ที่ถ่ายอุจจาระ นี่ที่ถ่ายปัสสาวะ นี่น้ำฉัน นี่น้ำใช้ นี่ไม้เท้า นี่ระเบียบกติกาสงฆ์ ควรเข้าเวลานี้ ควรออกเวลานี้ ครั้นแต่งตั้งเสร็จแล้วกลับมาสู่พระเวฬุวัน วิหารตามเดิม.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 450
เรื่องพระเมตติยะและพระภุมมชกะ
[๕๔๒] ก็โดยยสมัยนั้นแล พระเมตติยะและพระภุมมชกะ เป็น พระบวชใหม่ และมีบุญน้อย เสนาสนะของสงฆ์ชนิดเลวและอาหารอย่าง เลว ย่อมตกถึงแก่เธอทั้งสอง ครั้งนั้น ชาวบ้านในพระนครราชคฤห์ ชอบถวาย เนยใสบ้าง น้ำมันบ้าง แกงที่มีรสดีๆ บ้าง ซึ่งจัดปรุง เฉพาะพระเถระทั้งหลาย ส่วนพระเมตติยะและพระภุมมชกะ เขาถวาย อาหารอย่างธรรมดาตามแต่จะหาได้ เป็นชนิดปลายข้าว มีน้ำส้มเป็นกับ เวลาหลังอาหาร เธอทั้งสองกลับจากบิณฑบาตแล้ว เที่ยวถามพวกภิกษุ ผู้เถระว่า ในโรงฉันของพวกท่านมีอาหารอะไรบ้าง ขอรับ ในโรงฉันของ พวกท่านมีอาหารอะไรบ้าง ขอรับ พระเถระบางพวกบอกอย่างนี้ว่า พวก เรามีเนยใส น้ำมัน แกงที่มีรสอร่อยๆ ขอรับ ส่วนพระเมตติยะและ พระภุมมชกะพูดอย่างนี้ว่า พวกกระผมไม่มีอะไรเลย ขอรับ มีแต่อาหาร อย่างธรรมดาตามแต่จะหาได้ เป็นชนิดปลายข้าวมีน้ำส้มเป็นกับ.
[๕๔๓] สมัยต่อมา คหบดีผู้ชอบถวายอาหารที่ดี ถวายภัตตาหาร วันละ ๔ ที่แก่สงฆ์เป็นนิจภัต เขาพร้อมด้วยบุตรภรรยาอังคาสอยู่ใกล้ๆ ในโรงฉัน คนอื่นๆ ย่อมถามด้วยข้าวสุก กับข้าว น้ำมัน แกงที่มีรส อร่อย คราวนั้น ภัตตุเทสก์ ได้ถวายภัตตาหารของคฤหบดีผู้ชอบถวาย อาหารที่ดี แก่พระเมตติยะและพระภุมมชกะ เพื่อฉันในวันรุ่งขึ้น ขณะ นั้นท่านคฤหบดีไปสู่อารามด้วยกรณียะบางอย่าง แล้วเข้าไปหาท่านพระทัพพมัลลบุตรถึงที่สำนัก ครั้นนมัสการท่านพระทัพพมัลลบุตรแล้วนั่ง ณ ที่ ควรส่วนข้างหนึ่ง ท่านพระทัพพมัลลบุตรยังท่านคฤหบดีผู้นั่งแล้ว ให้ เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา ครั้นแล้ว
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 451
ท่านคฤหบดีได้เรียนถามท่านว่า ภัตตาหารเพื่อจะฉันในวันพรุ่งนี้ที่เรือน ของเกล้ากระผม พระคุณเจ้าจัดถวายแก่ภิกษุรูปไหน ขอรับ
ท่านพระทัพพมัลลบุตรตอบว่า อาตมาจัดให้แก่พระเมตติยะกับ พระภุมมชกะแล้วจ้ะ
ขณะนั้น ท่านคฤหบดีได้มีความน้อยใจว่า ไฉนภิกษุผู้ลามกจักฉัน ภัตตาหารในเรือนเราเล่า แล้วไปเรือนสั่งหญิงคนใช้ไว้ว่า แม่สาวใช้ เจ้า จงจัดอาสนะไว้ที่ซุ้มประตู แล้วอังคาสภิกษุผู้จะมาฉันภัตตาหารในวัน พรุ่งนี้ ด้วยปลายข้าว มีน้ำส้มเป็นกับ
หญิงคนใช้รับคำของท่านคหบดีว่า อย่างนั้น เจ้าค่ะ
ครั้งนั้น พระเมตติยะและพระภุมมชกะ กล่าวแก่กันว่า คุณเมื่อวานนี้ ท่านภัตตุเทสก์จัดภัตตาหารในเรือนท่านกัลยาณภัตติกคหบดีให้พวกเรา พรุ่งนี้ท่านคหบดีพร้อมด้วยบุตรภรรยาจักอังคาสเราอยู่ใกล้ๆ คนอื่นๆ จัก ถามด้วยข้าวสุก กับข้าว น้ำมัน แกงที่มีรสอร่อยๆ ด้วยความดีใจนั้น แล ตกกลางคืนเธอทั้งสองนั้นจำวัดหลับไม่เต็มตื่น ครั้นเวลาเช้า พระเมตติยะและพระภุมมชกะ ครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรและจีวรเดินเข้าไปยังนิเวศน์ของกัลยาณภัตติกคหบดี
หญิงคนใช้นั้นได้แลเห็นพระเมตติยะและพระภุมมชกะ กำลังเดิน มาแต่ไกล ครั้นแล้วจึงปูอาสนะถวายที่ซุ้มประตู แล้วกล่าวว่า นิมนต์นั่ง เจ้าค่ะ
จึงพระเมตติยะและพระภุมมชกะนึกว่า ภัตตาหารจะยังไม่เสร็จเป็น แน่ เขาจึงให้เรานั่งพักที่ซุ้มประตูก่อน
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 452
ขณะนั้นหญิงคนใช้นำอาหารปลายข้าว ซึ่งมีผักดองเป็นกับ เข้าไป ถวาย กล่าวอาราธนาว่า นิมนต์ฉันเถิด เจ้าค่ะ
พ. น้องหญิง พวกฉันเป็นพระรับฉันนิจภัต จ้ะ
ญ. ดิฉันทราบแล้วเจ้าค่ะว่า พระคุณเจ้าเป็นพระรับฉันนิจภัต แต่ เมื่อวานนี้เอง ท่านคหบดีได้สั่งดิฉันไว้ว่า แม่สาวใช้ เจ้าจงจัดอาสนะ ไว้ที่ซุ้มประตู แล้วอังคาสภิกษุผู้จะมาฉันภัตตาหารในวันพรุ่งนี้ ด้วยปลาย ข้าว มีน้ำส้มเป็นกับดังนี้ นิมนต์ฉันเถิด เจ้าค่ะ
จึงพระเมตติยะและพระภุมมชกะปรึกษากันว่า อาวุโส เมื่อวานนี้ เอง ท่านคฤหบดีไปสู่อารามในสำนักพระทัพพมัลลบุตร พวกเราคงถูก พระทัพพมัลลบุตรยุยงในสำนักคหบดีเป็นแน่นอนทีเดียว เพราะความ เสียใจนั้นแล เธอทั้งสองรูปนั้นฉันไม่ได้ดังใจนึก ครั้นกลับจากบิณฑบาต ถึงอารามในเวลาหลังอาหาร เก็บบาตรและจีวรแล้ว นั่งรัดเข่าด้วยผ้า สังฆาฎิอยู่ภายนอกซุ้มประตูอาราม นิ่งอั้น เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา ไม่พูดจา
เรื่องภิกษุณีเมตติยา
[๕๔๔] ครั้งนั้นแล ภิกษุณีเมตติยาเข้าไปหาพระเมตติยะและ พระภุมมชกะถึงสำนัก ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า ดิฉันไหว้ เจ้าค่ะ
เมื่อนางกล่าวอย่างนั้นแล้ว พระเมตติยะและพระภุมมชกะก็มิได้ ทักทายปราศรัย นางจึงกล่าวว่า ดิฉันไหว้ เจ้าค่ะ เป็นครั้งที่สอง แม้ ครั้งที่สอง พระเมตติยะและพระภุมมชกะก็มิได้ทักทายปราศรัย นางจึง ได้กล่าวอีกเป็นครั้งที่สามว่า ดิฉันไหว้ เจ้าค่ะ แม้ครั้งที่สาม พระเมตติยะ และพระภุมมชกะก็มิได้ทักทายปราศรัย
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 453
ภิกษุณีเมตติยาถามว่า ดิฉันผิดอย่างไรต่อพระคุณเจ้าๆ ไม่ทักทาย ปราศรัยกับดิฉัน เพื่อประสงค์อะไร
ภิกษุทั้งสองตอบว่า ก็จริงอย่างนั้นแหละ น้องหญิง พวกเราถูก พระทัพพมัลลบุตรเบียดเบียนอยู่ เธอยังเพิกเฉยได้
เม. ดิฉันจะช่วยเหลืออย่างไร เจ้าคะ
ภิ. น้องหญิง ถ้าเธอเต็มใจช่วย วันนี้แหละพระผู้มีพระภาคเจ้า ต้องให้พระทัพพมัลลบุตรสึก
เม. ดิฉันจะทำอย่างไร ดิฉันสามารถจะช่วยเหลือได้ด้วยวิธีไหน
ภิ. มาเถิด น้องหญิง เธอจงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ ประทับ ครั้นแล้วจงกราบทูลอย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า กรรมนี้ไม่มิด เม้น ไม่สมควร ทิศที่ไม่มีภัย ไม่มีจัญไร ไม่มีอันตราย บัดนี้กลับมามีภัย
มีจัญไร มีอันตราย ณ สถานที่ไม่มีลม บัดนี้ กลับมามีลมแรงขึ้น หม่อมฉัน ถูกพระคุณเจ้าทัพพมัลลบุตรประทุษร้าย คล้ายน้ำถูกไฟเผา พระพุทธ เจ้าข้า
ภิกษุณีเมตติยา รับคำพระเมตติยะและพระภุมมชกะว่า ตกลงเจ้าคะ แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นถวายบังคมแล้ว ได้ ยืนอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่งกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า กรรมนี้ไม่มิดเม้น ไม่สมควร ทิศที่ไม่มีภัย ไม่มีจัญไร ไม่มีอันตราย บัดนี้กลับมามีภัย มี จัญไร มีอันตราย ณ สถานที่ไม่มีลม บัดนี้กลับมามีลมแรงขึ้น หม่อมฉัน ถูกพระคุณเจ้าทัพพมัลลบุตรประทุษร้าย คล้ายน้ำถูกไฟเผา พระพุทธเจ้าข้า.
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
[๕๔๕] ลำดับนั้น พระผู้พระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมสงฆ์ ใน
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 454
เพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถาม ท่านพระทัพพมัลลบุตรว่า ดูก่อนทัพพะ เธอยังระลึกได้หรือว่า เป็นผู้ ทำกรรมดังนางภิกษุณีนี้กล่าวหา
ท่านพระทัพพมัลลบุตรกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ย่อม ทรงทราบว่า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นฉันใด
แม้ครั้งที่สองแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามท่านพระทัพพมัลลบุตรว่า ดูก่อนทัพพะ เธอยังระลึกได้หรือว่า เป็นผู้ทำกรรมดังนางภิกษุณีนี้กล่าวหา
ท่านพระทัพพมัลลบุตรกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ย่อม ทรงทราบว่า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นฉันใด
แม้ครั้งที่สามแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามท่านพระทัพพมัลลบุตรว่า ดูก่อนทัพพะ เธอยังระลึกได้หรือว่า เป็นผู้ทำกรรมดังนางภิกษุณีนี้กล่าวหา
ท่านพระทัพพมัลลบุตรกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ย่อม ทรงทราบว่า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นฉันใด i
ภ. ดูก่อนทัพพะ บัณฑิตย่อมไม่กล่าวแก้คำกล่าวหาเช่นนี้ ถ้าเธอ ทำก็จงบอกว่าทำ ถ้าเธอไม่ได้ทำ ก็จงบอกว่าไม่ได้ทำ
พ. พระพุทธเจ้าข้า ตั้งแต่ข้าพระพุทธเจ้าเกิดมา แม้โดยความฝัน ก็ยังไม่รู้จักเสพเมถุนธรรม จะกล่าวไปไยถึงเมื่อตอนตื่นอยู่เล่า
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุ ทั้งหลายว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล พวกเธอจงให้ภิกษุณีเมตติยาสึกเสีย และ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 455
จงสอบสวนภิกษุเหล่านี้ รับสั่งดังนี้แล้ว พระองค์เสด็จลุกจากที่ประทับ เข้าพระวิหาร
หลังจากนั้น ภิกษุทั้งหลายได้ให้ภิกษุณีเมตติยาสึก จึงพระเมตติยะ และพระภุมมชกะได้แถลงเรื่องนี้กะภิกษุทั้งหลายว่า อาวุโสทั้งหลาย ขอ ท่านทั้งหลายอย่าให้ภิกษุณีเมตติยาสึกเลย นางไม่ผิดอะไร พวกกระผม แค้นเคือง ไม่พอใจ มีความประสงค์จะให้ท่านพระทัพพมัลลบุตรเคลื่อน จากพรหมจรรย์ จึงได้ให้นางใส่ไคล้
ภิกษุทั้งหลายถามว่า อาวุโสทั้งหลาย ก็นี่พวกคุณโจทท่านพระทัพพมัลลบุตรด้วยธรรมีโทษถึงปาราชิก อันหามูลมิได้หรือ
ภิกษุสองรูปนั้นสารภาพว่า อย่างนั้น ขอรับ
บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่สิกขา ต่างพากันเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระเมตติยะ และพระภุมมชกะ จึงได้โจทท่านพระทัพพมัลลบุตรด้วยธรรมมีโทษถึง ปาราชิก อันหามูลมิได้เล่า แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ประชุมสงฆ์ทรงบัญญัติสิกขาบท
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะ เหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามพระเมตติยะและพระภุมมชกะว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอโจท ทัพพมัลลบุตร ด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิก อันหามูลมิได้ จริงหรือ
ภิกษุสองรูปนั้นทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 456
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจงได้โจททัพพมัลลบุตรด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิกอันหามูลมิ- ได้เล่า การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของ ชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใส แล้ว โดยที่แท้ การกระทำของพวกเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่ เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของ ชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว
ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงติเตียนพระเมตติยะและพระภุมมชกะ โดยอเนกปริยาย ดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความ เป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความ คลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความ มักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย แล้วทรงกระทำ ธรรมีกถาสมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบท แก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑ ประการ คือ เพื่อความ รับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อ ยาก เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะ อันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต เพื่อความเลื่อมใสขอชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่ง ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อ ถือตามพระวินัย ๑
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 457
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล พวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง อย่างนั้น ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๑๒. ๘. อนึ่ง ภิกษุใด ขัดใจ มีโทสะ ไม่แช่มชื่น ตามกำจัด ซึ่งภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิก อันหามูลมิได้ ด้วยหมายว่า แม้ ไฉนเราจะยังเธอให้เคลื่อนจากพรหมจรรย์นี้ได้ ครั้นสมัยอื่นแต่นั้น อันผู้ใดผู้หนึ่ง ถือเอาตามก็ตาม ไม่ถือเอาตามก็ตาม แต่อธิกรณ์นั้น เป็นเรื่องหามูลมิได้ แลภิกษุยันอิงโทสะอยู่ เป็นสังฆาทิเสส.
เรื่องพระเมตติยะและพระภุมมชกะ จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๕๔๖] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือผู้เช่นใด มีการ งานอย่างใด มีชาติอย่างใด มีชื่ออย่างใด มีโคตรอย่างใด มีปกติอย่างใด มีธรรมเครื่องอยู่อย่างใด มีอารมณ์อย่างใด เป็นเถระก็ตาม เป็นนวกะ ก็ตาม เป็นมัชฌิมะก็ตาม นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อนึ่ง ... ใด.
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ข้อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้ขอ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า ประพฤติภิกขาจริยวัตร ชื่อว่า ภิกษุ เพราะ อรรถว่า ทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว ชื่อว่า ภิกษุ โดยสมญา ชื่อว่า ภิกษุ โดยปฏิญญา ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นเอหิภิกษุ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้เจริญ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า มีสารธรรม ชื่อว่า
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 458
ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นพระเสขะ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็น พระอเสขะ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้อันสงฆ์พ้ร้อมเพรียงกัน อุปสมบทให้ ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ บรรดา ภิกษุเหล่านั้น ภิกษุที่สงฆ์พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ ด้วยญัตติจตุตถกรรมอันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะนี้ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้
บทว่า ซึ่งภิกษุ หมายภิกษุอื่น.
บทว่า ขัดใจ มีโทสะ คือโกรธ ไม่ถูกใจ ไม่พอใจ แค้นใจ เจ็บใจ.
บทว่า ไม่แช่มชื่น คือ เป็นคนมีใจไม่แช่มชื่น เพราะความ โกรธนั้น เพราะโทสะนั้น เพราะความไม่ถูกใจนั้น และเพราะความไม่ พอใจนั้น.
ที่ชื่อว่า อันหามูลมิได้ คือ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รังเกียจ.
บทว่า ด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิก คือ ด้วยปาราชิกธรรมทั้ง ๔ สิกขาบท สิกขาบทใดสิกขาบทหนึ่ง.
บทว่า ตามกำจัด ได้แก่ โจทเอง หรือสั่งให้โจท.
พากย์ว่า แม้ไฉนเราจะยังเธอให้เคลื่อนจากพรหมจรรย์นี้ได้ ความว่า ให้เคลื่อนจากภิกษุภาพ ให้เคลื่อนจากสมณธรรม ให้เคลื่อน จากศีลขันธ์ ให้เคลื่อนเจ้าคุณคือตบะ.
[๕๔๗] คำว่า ครั้นสมัยอื่นแต่นั้น ความว่า เมื่อขณะคราว ครู่หนึ่งที่ภิกษุผู้ถูกตามกำจัดนั้น ผ่านไปแล้ว.
บทว่า อันผู้ใดผู้หนึ่งถือเอาตามก็ตาม คือ ภิกษุเป็นผู้ถูกตามกำจัด ด้วย เรื่องใด มีคนเชื่อในเพราะเรื่องนั้นก็ตาม.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 459
บทว่า ไม่ถือเอาตามก็ตาม คือ ไม่มีใครๆ พูดถึง.
[๕๔๘] ที่ชื่อว่า อธิกรณ์ ได้แก่อธิกรณ์ ๔ อย่าง คือวิวาทาธิกรณ์ ๑ อนุวาทาธิกรณ์ ๑ อาปัตตาธิกรณ์ ๑ กิจจาธิกรณ์ ๑.
[๕๔๙] คำว่า แลภิกษุยันอิงโทสะอยู่ ความว่า ภิกษุกล่าว ปฏิญาณว่าข้าพเจ้าพูดเปล่าๆ พูดเท็จ พูดไม่จริง ข้าพเจ้าไม่รู้ ได้พูดแล้ว.
บทว่า สังฆาทิเสส ความว่า สงฆ์เท่านั้นให้ปริวาสเพื่ออาบัตินั้น ชักเข้าหาอาบัติเดิม ให้มานัต เรียกเข้าหมู่ ไม่ใช่คณะมากรูปด้วยกัน ไม่ใช่บุคคลรูปเดียว เพราะฉะนั้น จึงตรัสเรียกว่า สังฆาทิเสส คำว่า สังฆาทิเสส เป็นการขนานนาม คือ เป็นชื่อของอาบัตินิกายนั้นแล แม้เพราะเหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่า สังฆาทิเสส.
บทภาชนีย์
ไม่เห็น โจทว่าได้เห็น
[๕๕๐] ภิกษุผู้โจทก์ไม่ได้เห็นภิกษุผู้กำลังต้องปาราชิกธรรม ถ้า โจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้เห็น ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็น สมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
ไม่ได้ยิน โจทว่าได้ยิน
ภิกษุผู้โจทก์ไม่ได้ยินว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าโจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้ยิน ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่ เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 460
ไม่รังเกียจ โจทว่ารังเกียจ
ภิกษุผู้โจทก์ไม่ได้รังเกียจว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าโจท เธอว่า ข้าพเจ้ารังเกียจ ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
โจทก์ไม่เห็น
[๕๕๑] ภิกษุผู้โจทก์ไม่ได้เห็นภิกษุผู้กำลังต้องปาราชิกธรรม ถ้า โจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้เห็นและได้ยิน ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
ภิกษุผู้โจทก์ไม่ได้เห็นภิกษุผู้กำลังต้องปาราชิกธรรม ถ้าโจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้เห็น และรังเกียจ ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็น สมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ไม่ได้เห็นภิกษุผู้กำลังต้องปาราชิกธรรม ถ้าโจทเธอ ว่า ข้าพเจ้าได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 461
โจทก์ไม่ได้ยิน
ภิกษุผู้โจทก์ไม่ได้ยินว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าโจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้ยิน และรังเกียจ ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็น สมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ไม่ได้ยินว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าโจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้ยิน และได้เห็น ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็น สมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ไม่ได้ยินว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าโจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้ยิน รังเกียจ และได้เห็น ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่าน ไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
โจทก์ไม่รังเกียจ
ภิกษุผู้โจทก์ไม่รังเกียจว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าโจทเธอว่า ข้าพเจ้ารังเกียจ และได้เห็น ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็น สมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ไม่รังเกียจว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าโจทเธอว่า ข้าพเจ้ารังเกียจ และได้ยิน ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็น สมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 462
ภิกษุผู้โจทก์ไม่รังเกียจว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าโจทเธอว่า ข้าพเจ้ารังเกียจ ได้เห็น และได้ยิน ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่าน ไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
โจทก์เห็น
[๕๕๒] ภิกษุผู้โจทก์ได้เห็นภิกษุผู้กำลังต้องปาราชิกธรรม ถ้า โจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้ยิน ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็น สมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ได้เห็นภิกษุผู้กำลังต้องปาราชิกธรรม ถ้าโจทเธอว่า ข้าพเจ้ารังเกียจ ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่าน ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ได้เห็นภิกษุผู้กำลังต้องปาราชิกธรรม ถ้าโจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้ยินและรังเกียจ ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็น สมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
โจทก์ได้ยิน
ภิกษุผู้โจทก์ได้ยินว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าโจทเธอว่า ข้าพเจ้ารังเกียจ ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่าน ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 463
ภิกษุผู้โจทก์ได้ยินว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าโจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้เห็น ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่ เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ได้ยินว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าโจทเธอว่า ข้าพเจ้ารังเกียจ และได้เห็น ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็น สมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
โจทก์รังเกียจ
ภิกษุผู้โจทก์รังเกียจว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าโจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้เห็น ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่าน ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์รังเกียจว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าโจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้ยิน ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่าน ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์รังเกียจว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าโจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้เห็นและได้ยิน ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 464
โจทก์เห็น สงสัย
[๕๕๓] ภิกษุผู้โจทก์ได้เห็นภิกษุผู้กำลังต้องปาราชิกธรรม มีความ สงสัยในสิ่งที่ได้เห็น คือเห็นแล้วกำหนดไม่ได้ ระลึกไม่ได้ ลืมเสีย ถ้าโจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้เห็นและได้ยิน ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ได้เห็นภิกษุผู้กำลังต้องปาราชิกธรรม มีความสงสัยใน สิ่งที่ได้เห็น คือเห็นแล้วกำหนดไม่ได้ ระลึกไม่ได้ ลืมเสีย ถ้าโจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้เห็นและรังเกียจ ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็น สมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ได้เห็นภิกษุผู้กำลังต้องปาราชิกธรรม มีความสงสัยใน สิ่งที่ได้เห็น คือเห็นแล้วกำหนดไม่ได้ ระลึกไม่ได้ ลืมเสีย ถ้าโจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
โจทก์ได้ยิน สงสัย
ภิกษุผู้โจทก์ได้ยินว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม มีความสงสัยใน เรื่องที่ได้ยิน คือได้ยินแล้วกำหนดไม่ได้ ระลึกไม่ได้ ลืมเสีย ถ้าโจท เธอว่า ข้าพเจ้าได้ยิน และรังเกียจ ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่าน
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 465
ไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ได้ยินว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม มีความสงสัยในเรื่อง ที่ได้ยิน คือได้ยินแล้วกำหนดไม่ได้ ระลึกไม่ได้ ลืมเสีย ถ้าโจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้ยิน และได้เห็น ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ได้ยินว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม มีความสงสัยในเรื่อง ที่ได้ยิน คือได้ยินแล้วกำหนดไม่ได้ ระลึกไม่ได้ ลืมเสีย ถ้าโจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้ยิน รังเกียจและได้เห็น ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่ เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
โจทก์รังเกียจ สังสัย
ภิกษุผู้โจทก์รังเกียจว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม มีความสงสัยใน เรื่องที่รังเกียจ คือรังเกียจแล้วกำหนดไม่ได้ ระลึกไม่ได้ ลืมเสีย ถ้า โจทเธอว่า ข้าพเจ้ารังเกียจและได้เห็น ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์รังเกียจว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม มีความสงสัยใน เรื่องที่รังเกียจ คือรังเกียจแล้วกำหนดไม่ได้ ระลึกไม่ได้ ลืมเสีย ถ้า
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 466
โจทเธอว่า ข้าพเจ้ารังเกียจและได้ยิน ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์รังเกียจว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม มีความสงสัย ในเรื่องที่รังเกียจ คือรังเกียจแล้วกำหนดไม่ได้ ระลึกไม่ได้ ลืมเสีย ถ้าโจทเธอว่า ข้าพเจ้ารังเกียจ ได้เห็นและได้ยิน ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
โจทก์ไม่เห็น สั่งให้โจทว่าได้เห็น
[๕๕๔] ภิกษุผู้โจทก์ไม่ได้ห็นภิกษุผู้กำลังต้องปาราชิกธรรม ถ้า สั่งให้โจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้เห็น ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่ เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
โจทก์ไม่ได้ยิน สั่งให้โจทว่าได้ยิน
ภิกษุผู้โจทก์ไม่ได้ยินว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าสั่งให้โจท เธอว่า ข้าพเจ้าได้ยิน ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 467
โจทก์ไม่รังเกียจ สั่งให้โจทว่ารังเกียจ
ภิกษุผู้โจทก์ไม่รังเกียจว่า ภิกษุต้องปาราชิกรรม ถ้าสั่งให้โจท เธอว่า ข้าพเจ้ารังเกียจ ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
โจทก์ไม่เห็น สั่งให้โจท
[๕๕๕] ภิกษุผู้โจทก์ไม่ได้เห็นภิกษุผู้กำลังต้องปาราชิกธรรม ถ้า สั่งให้โจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้เห็น ได้ยิน ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ไม่ได้เห็นภิกษุผู้กำลังต้องปาราชิกธรรม ถ้าสั่งให้โจท เธอว่า ข้าพเจ้าได้เห็น ได้รังเกียจ ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่าน ไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ไม่ได้เห็นภิกษุผู้กำลังต้องปาราชิกธรรม ถ้าสั่งให้โจท เธอว่า ข้าพเจ้าได้เห็น ได้ยิน ได้รังเกียจ ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 468
โจทก์ไม่ได้ยิน สั่งให้โจท
ภิกษุผู้โจทก์ไม่ได้ยินว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าสั่งให้โจท เธอว่า ข้าพเจ้าได้ยิน ได้รังเกียจ ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่าน ไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ไม่ได้ยินว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าสั่งให้โจท เธอว่า ข้าพเจ้าได้ยิน ได้เห็น ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่ เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ไม่ได้ยินว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าสั่งให้โจท เธอว่า ข้าพเจ้าได้ยิน ได้รังเกียจ ได้เห็น ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
โจทก์ไม่ได้รังเกียจ สั่งให้โจท
ภิกษุผู้โจทก์ไม่ได้รังเกียจว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าสั่งให้ โจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้รังเกียจ ได้เห็น ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณะก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ไม่ได้รังเกียจว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าสั่งให้โจท เธอว่า ข้าพเจ้าได้รังเกียจ ได้ยิน ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่าน
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 469
ไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ไม่ได้รังเกียจว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าสั่งให้โจท เธอว่า ข้าพเจ้าได้รังเกียจ ได้เห็น ได้ยิน ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
โจทก์ได้เห็น สั่งให้โจท
[๕๕๖] ภิกษุผู้โจทก์ได้เห็นภิกษุผู้กำลังต้องปาราชิกธรรม ถ้าสั่ง ให้โจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้ยิน ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็น สมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ได้เห็นภิกษุผู้กำลังต้องปาราชิกธรรม ถ้าสั่งให้โจท เธอว่า ข้าพเจ้าได้รังเกียจ ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรม ก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ได้เห็นภิกษุผู้กำลังต้องปาราชิกธรรม ถ้าสั่งให้โจท เธอว่า ข้าพเจ้าได้ยิน ได้รังเกียจ ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่าน ไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 470
โจทก์ได้ยิน สั่งให้โจท
ภิกษุผู้โจทก์ได้ยินว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าสั่งให้โจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้รังเกียจ ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ได้ยินว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าสั่งให้โจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้เห็น ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่าน ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ได้ยินว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าสั่งให้โจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้รังเกียจ ได้เห็น ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็น สมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
โจทก์รังเกียจ สั่งให้โจท
ภิกษุผู้โจทก์รังเกียจว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าสั่งให้โจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้เห็น ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่าน ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์รังเกียจว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าสั่งให้โจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้ยิน ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่าน ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 471
ภิกษุผู้โจทก์รังเกียจว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม ถ้าสั่งให้โจท เธอว่า ข้าพเจ้าได้เห็น ได้ยิน ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็น สมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
โจทก์เห็น สงสัย สั่งให้โจท
[๕๕๗] ภิกษุผู้โจทได้เห็นภิกษุผู้กำลังต้องปาราชิกธรรม มี ความสงสัยในสิ่งที่เห็น คือเห็นแล้วกำหนดไม่ได้ ระลึกไม่ได้ ลืมเสีย ถ้าสั่งให้โจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้เห็น ได้ยิน ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ได้เห็นภิกษุผู้กำลังต้องปาราชิกธรรม มีความสงสัยใน สิ่งที่เห็น คือเห็นแล้วกำหนดไม่ได้ ระลึกไม่ได้ ลืมเสีย ถ้าสั่งให้โจท เธอว่า ข้าพเจ้าได้เห็น ได้รังเกียจ ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่าน ไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ได้เห็นภิกษุผู้กำลังต้องปาราชิกธรรม มีความสงสัยใน สิ่งที่เห็น คือเห็นแล้วกำหนดไม่ได้ ระลึกไม่ได้ ลืมเสีย ถ้าสั่งให้โจท เธอว่า ข้าพเจ้าได้เห็น ได้ยิน ได้รังเกียจ ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 472
โจทก์ได้ยิน สงสัย สั่งให้โจท
ภิกษุผู้โจทก์ได้ยินว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม มีความสงสัยใน เรื่องที่ได้ยิน คือได้ยินแล้วกำหนดไม่ได้ ระลึกไม่ได้ ลืมเสีย ถ้าสั่งให้ โจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้ยิน ได้รังเกียจ ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ได้ยินว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม มีความสงสัยในเรื่อง ที่ได้ยิน คือได้ยินแล้วกำหนดไม่ได้ ระลึกไม่ได้ ลืมเสีย ถ้าสั่งให้โจท เธอว่า ข้าพเจ้าได้ยิน ได้เห็น ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่ เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์ได้ยินว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม มีความสงสัยในเรื่อง ที่ได้ยิน คือได้ยินแล้วกำหนดไม่ได้ ลืมเสีย ถ้าสั่งให้โจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้ยิน ได้รังเกียจ ได้เห็น ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่าน ไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
โจทก์รังเกียจ สงสัย สั่งให้โจท
ภิกษุผู้โจทก์รังเกียจว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม มีความสงสัยใน เรื่องที่รังเกียจ คือรังเกียจแล้วกำหนดไม่ได้ ระลึกไม่ได้ ลืมเสีย ถ้าสั่ง ให้โจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้รังเกียจ ได้เห็น ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 473
ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์รังเกียจว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม มีความสงสัยใน เรื่องที่รังเกียจ คือรังเกียจแล้วกำหนดไม่ได้ ระลึกไม่ได้ ลืมเสีย ถ้าสั่ง ให้โจทเธอว่า ข้าพเจ้ารังเกียจ ได้ยิน ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด
ภิกษุผู้โจทก์รังเกียจว่า ภิกษุต้องปาราชิกธรรม มีความสงสัยใน ในเรื่องที่รังเกียจ คือรังเกียจแล้วกำหนดไม่ได้ ระลึกไม่ได้ ลืมเสีย ถ้าสั่งให้โจทเธอว่า ข้าพเจ้าได้รังเกียจ ได้เห็น ได้ยิน ท่านเป็นผู้ต้อง ปาราชิกธรรม ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำพูด.
ความเห็น ๔ อย่าง
[๕๕๘] จำเลยเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ โจทก์มีความเห็นว่า เป็นผู้ บริสุทธิ์ ๑
จำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ โจทก์มีความเห็นว่า เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ๑
จำเลยเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ โจทก์มีความเห็นว่า เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ๑
จำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ โจทก์มีความเห็นว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ ๑.
[๕๕๙] ภิกษุต้องปาราชิกธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมเป็นผู้ไม่ บริสุทธิ์ ถ้าภิกษุผู้โจทก์เห็นว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ขอโอกาสต่อ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 474
เธอก่อนแล้วโจทเธอ หมายจะให้เคลื่อน ต้องอาบัติทุกกฏ กับอาบัติ สังฆาทิเสส
ภิกษุต้องปาราชิกธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งย่อมเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ถ้า ภิกษุผู้โจทก์เห็นว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ ขอโอกาสต่อเธอก่อนแล้วโจทเธอ หมายจะให้เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุต้องปาราชิกธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งย่อมเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ถ้า ภิกษุผู้โจทก์เห็นว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ขอโอกาสต่อเธอก่อนแล้วโจทเธอ หมายจะด่า ต้องอาบัติทุกกฏ กับอาบัติปาจิตตีย์ ในเพราะโอมสวาท *
ภิกษุต้องปาราชิกธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งย่อมเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ถ้า ภิกษุผู้โจทก์เห็นว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ ขอโอกาสต่อเธอก่อนแล้วโจทเธอ หมายจะด่า ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ในเพราะโอมสวาท.
[๕๖๐] ภิกษุไม่ต้องปาราชิกธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมเป็นผู้ บริสุทธิ์ ถ้าภิกษุผู้โจทก์เห็นว่า เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ไม่ขอโอกาสต่อเธอ ก่อนแล้วโจทเธอ หมายจะด่า ต้องอาบัติทุกกฏ
ภิกษุไม่ต้องปาราชิกธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ ถ้า ภิกษุผู้โจทก์เห็นว่า เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ขอโอกาสต่อเธอก่อนแล้วโจทเธอ หมายจะด่า ไม่ต้องอาบัติ
ภิกษุไม่ต้องปาราชิกธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ ถ้าภิกษุผู้โจทก์เห็นว่า เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ไม่ขอโอกาสต่อเธอก่อนแล้ว โจทเธอ หมายจะด่า ต้องอาบัติทุกกฏ กับอาบัติปาจิตตีย์ ในเพราะ โอมสวาท
(๑) โอมสวาท คือคำพูดเสียดแทงให้เจ็บใจ.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 475
ภิกษุไม่ต้องปาราชิกธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ ถ้าภิกษุผู้โจทก์เห็นว่า เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ขอโอกาสต่อเธอก่อนแล้ว โจทเธอ หมายจะด่า ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ในเพราะโอมสวาท.
[๕๖๑] ภิกษุต้องปาราชิกธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมเป็นผู้ไม่ บริสุทธิ์ ถ้าภิกษุผู้โจทก์เห็นว่า เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ไม่ขอโอกาสต่อเธอ ก่อนแล้วโจทเธอ หมายจะด่า ต้องอาบัติทุกกฏ
ภิกษุต้องปาราชิกธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ถ้าภิกษุผู้โจทก์เห็นว่า เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ขอโอกาสต่อเธอก่อนแล้ว โจทเธอ หมายจะด่า ไม่ต้องอาบัติ
ภิกษุต้องปาราชิกธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ถ้าภิกษุผู้โจทก์เห็นว่า เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ไม่ขอโอกาสต่อเธอก่อนแล้ว โจทเธอ หมายจะด่า ต้องอาบัติทุกกฏ กับอาบัติปาจิตตีย์ ในเพราะ โอมสวาท
ภิกษุต้องปาราชิกธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ถ้า ภิกษุผู้โจทก์เห็นว่า เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ขอโอกาสต่อเธอก่อนแล้วโจทเธอ หมายจะด่า ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ในเพราะโอมสวาท.
[๕๖๒] ภิกษุไม่ต้องปาราชิกธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมเป็นผู้ บริสุทธิ์ ถ้าภิกษุผู้โจทก์เห็นว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ขอโอกาสต่อเธอก่อน แล้วโจทเธอ หมายจะด่า ต้องอาบัติทุกกฏ กับอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุไม่ต้องปาราชิกธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ ถ้าภิกษุผู้โจทก์เห็นว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ ขอโอกาสต่อเธอก่อนแล้วโจทเธอ หมายจะด่า ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 476
ภิกษุไม่ต้องปาราชิกธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ ถ้าภิกษุผู้โจทก์เห็นว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ขอโอกาสต่อเธอก่อนแล้วโจท เธอ หมายจะด่า ต้องอาบัติทุกกฏ กับอาบัติปาจิตตีย์ ในเพราะโอมสวาท
ภิกษุไม่ต้องปาราชิกธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ ถ้าภิกษุผู้โจทก์เห็นว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ ขอโอกาสต่อเธอก่อนแล้วโจทเธอ หมายจะด่า ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ในเพราะโอมสวาท.
อนาปัตติวาร
[๕๖๓] ภิกษุจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ ภิกษุโจทก์มีความเห็นว่าเป็นผู้ ไม่บริสุทธิ์ ๑ ภิกษุจำเลยเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ภิกษุโจทก์มีความเห็นว่าเป็น ผู้ไม่บริสุทธิ์ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สิกขาบทที่ ๘ จบ
สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๘
ปฐมทุฏฐโทสสิกขาบทวรรณนา
ทุฏฐโทสสิกขาบทว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป:-
พึงทราบวินิจฉัยในทุฏฐโทสสิกขาบทนั้น ดังนี้
[ประวัติพระเวฬุวันวิหาร]
คำว่า เวฬุวัน ในคำว่า เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเป เป็นชื่อแห่ง อุทยานนั้น. ได้ยินว่า อุทยานนั้นได้ล้อมรอบไปด้วยกอไผ่และกำแพงสูง ๑๘ ศอก ประกอบด้วยเชิงเทิน (ซุ้มประตู) และป้อม มีสีเขียวชอุ่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 477
เป็นที่รื่นรมย์ใจ. ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกกันว่า เวฬุวัน. อนึ่ง ชนทั้งหลาย ได้ให้เหยื่อแก่พวกกระแตในอุทยานนี้, ด้วยเหตุนั้น อุทยานนั้น จึงชื่อว่า กลันทกนิวาปะ.
ได้ยินว่า ในกาลก่อน พระราชาพระองค์หนึ่ง ได้เสด็จประพาส ณ อุทยานนั้นทรงมึนเมาเพราะน้ำจัณฑ์แล้ว บรรทมหลับกลางวัน. แม้ บริวารของพระองค์ ก็พูดกันว่า พระราชาบรรทมหลับแล้ว ถูกดอกไม้ และผลไม้เย้ายวนใจอยู่ จึงพากันหลีกไปทางโน้นทางนี้. ขณะนั้น งูเห่า เลื้อยออกมาจากต้นไม้มีโพรงต้นใดต้นหนึ่ง เพราะกลิ่นสุรา เลื้อย มุ่งหน้าตรงมาหาพระราชา รุกขเทวดาเห็นงูเห่านั้นแล้วคิดว่า เราจักถวาย ชีวิตแด่พระราชา จึงแปลงเพศเป็นกระแตมาทำเสียงร้องที่ใกล้พระกรรณ แห่งพระราชา. พระราชาทรงตื่นบรรทม. งูก็เลื้อยกลับไป. ท้าวเธอ ทอดพระเนตรเห็นเหตุนั้นแล้ว ทรงดำริว่า กระแตนี้ให้ชีวิตเรา จึงเริ่ม ต้นเลี้ยงเหยื่อแก่กระแตทั้งหลาย และทรงให้ประกาศพระราชทานอภัยแก่ ฝูงกระแตในอุทยานนั้น เพราะฉะนั้น เวฬุวันนั้น จึงถึงอันนับว่า กลันทกนิวาปะ (เป็นที่เลี้ยงเหยื่อแก่กระแต) จำเดิมแต่กาลนั้นมา. แท้ จริง คำว่า กลันทกะ นี้ เป็นชื่อของพวกกระรอกกระแต.
[แก้อรรถเรื่องพระทัพพมัลลบุตร]
คำว่า ทัพพะ เป็นนามแห่งพระเถระนั้น.
บทว่า มลฺลปุตฺโต แปลว่า เป็นโอรสของเจ้ามัลลราช.
คำว่า ชาติยา สตฺตวสฺเสน อรหตฺตํ สจฺฉิกตํ มีความว่า ได้ยิน ว่า พระเถระบัณฑิตพึงทราบว่า มีอายุเพียง ๗ ขวบ เมื่อบรรพชา ได้ ความสังเวชแล้วบรรลุพระอรหัตตผล ในขณะปลงผมเสร็จนั่นเทียว.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 478
คำว่า ยงฺกกิญฺจ สาวเกน ปตฺตพฺพํ สพฺพํ เตน ปตฺตพฺพํ มีความว่า คุณชาตินี้ คือ วิชชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖ โลกุตรธรรม ๙ ชื่อว่า อันสาวกพึงบรรลุ, คุณชาตินั้น ย่อมเป็นอันพระเถระนั้นบรรลุ แล้วทุกอย่าง.
คำว่า นตฺถิ จสฺส กิญฺจิ อุตฺตริกรณียํ มีความว่า บัดนี้ กิจที่ จะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปน้อยหนึ่ง ไม่มีแก่พระเถระนั้น เพราะกิจ ๑๖ ประการ ในอริยสัจ ๔ อัน ท่านกระทำเสร็จแล้วด้วยมรรค ๔.
คำว่า กตสฺส วา ปฏิจโย มีความว่า แม้การจะเพิ่มเติมกิจที่ กระทำเสร็จแล้วนั้นก็ไม่มี เหมือนกับผ้าที่ซักแล้ว ไม่ต้องซักซ้ำอีก เหมือนของหอมที่บดแล้ว ไม่ต้องบดซ้ำอีก และเหมือนดอกไม้ที่บานแล้ว ไม่กลับบานอีกฉะนั้นแล.
บทว่า รโหคตสฺส ได้แก่ ไปในที่สงัด.
บทว่า ปฏิสลฺลีนสฺส ได้แก่ หลีกจากอารมณ์นั้นๆ แล้วเร้นอยู่. มีคำอธิบายว่า ถึงความเป็นผู้โดดเดี่ยว.
ข้อว่า อถโข อายสฺมโต ทพฺพสฺส มลฺลปุตฺตสฺส เอตทโหสิ ยนฺนูนาหํ สงฺฆสฺส เสนาสนญฺจ ปญฺาเปยฺยํ ภตฺตานิ จ อุทฺทิเสยฺยํ มีความว่า ได้ยินว่า พระเถระเห็นว่า กิจของตนกระทำเสร็จแล้ว จึงดำริว่า เรายังทรงไว้ซึ่งสรีระสุดท้ายอันนี้, ก็แลสรีระสุดท้ายนั้น ดำรงอยู่ในทาง แห่งความเป็นของไม่เที่ยง ไม่นานนักก็จะดับไปเป็นธรรมดา ดุจประทีป ตั้งอยู่ทางลมฉะนั้น, เราควรจะกระทำการขวนขวายแก่สงฆ์ ตลอดเวลา ที่ยังไม่ดับ อย่างไรหนอแล? พลางพิจารณาเห็นอย่างนั้นว่า เหล่ากุลบุตร เป็นอันมาก ในแคว้นนอกทั้งหลาย บวชไม่ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 479
เลย, ท่านเหล่านั้น ย่อมพากันมาแม้จากที่ไกล ด้วยหวังใจว่า เรา ทั้งหลายจักเฝ้าแหน จักถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า บรรดากุลบุตรนั้น เสนาสนะไม่เพียงพอแก่ท่านพวกได, ท่านพวกนั้น ต้องนอนแม้บน แผ่นศิลา, ก็แล เราย่อมอาจเพื่อนิรมิตเสนาสนะ มีปราสาท วิหาร เพิงพัก เป็นต้น พร้อมทั้งเตียงตั้งและเครื่องลาดให้ตามอำนาจความปรารถนาของ กุลบุตรเป็นอันมากเหล่านั้น ด้วยอานุภาพของตน และในวันรุ่งขึ้น บรรดากุลบุตรเหล่านี้ บางเหล่ามีกายเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน, กุลบุตร พวกนั้นจะยืนข้างหน้าภิกษุทั้งหลาย แล้วให้แจกแม้ซึ่งภัตตาหารด้วย คารวะหาได้ไม่, ก็เราแลอาจแจกแม้ซึ่งภัตตาหารแก่กุลบุตรเหล่านั้นได้. ครั้งนั้นแล ท่านพระทัพพมัลลบุตรผู้พิจารณาอยู่อย่างนี้ ได้มีความตกลง ใจนี้ว่า ผิฉะนั้น เราควรแต่งตั้งเสนาสนะ และแจกภัตตาหารแก่สงฆ์.
ถามว่า ก็ฐานะทั้ง ๒ ประการนี้ ควรแก่ภิกษุผู้ตามประกอบแต่ ความยินดีในการพูดเป็นต้น มิใช่หรือ? ส่วนท่านพระทัพพมัลลบุตรนี้ เป็นพระขีณาสพ ไม่มีความยินดีในธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า, เพราะเหตุไร ฐานะ ๒ ประการนี้ จึงปรากฎแจ่มแจ้งแก่ท่านผู้มีอายุนี้เล่า?
ตอบว่า เพราะความปรารถนาในปางก่อนกระตุ้นเตือน.
ได้ยินว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทรงมีเหล่าพระสาวกผู้บรรลุ ฐานันดรนี้เหมือนกัน, และท่านพระทัพพมัลลบุตรนี้ เกิดชาติปางหลัง ในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ เห็นอานุภาพของภิกษุผู้บรรลุฐานันดรนี้ นิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุ ๖๘๐,๐๐๐ รูป ถวายมหาทานตลอด ๗ วัน แล้ว หมอบลงแทบบาทมูล ได้กระทำความปรารถนาว่า ในกาลแห่งพระ-
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 480
พุทธเจ้าเช่นกับพระองค์บังเกิดขึ้นในอนาคต แม้ข้าพระองค์ พึงเป็นผู้ แต่งตั้งเสนาสนะและภัตตุทเทสกะ เหมือนสาวกของพระองค์ผู้มีชื่อนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอดส่องอนาคตังสญาณไป ได้ทอดพระเนตรเห็น แล้ว. ก็แลครั้นทอดพระเนตรเห็นแล้ว จึงได้ทรงพยากรณ์ว่า โดยกาล ล่วงไปแห่งแสนกัปแต่กัปนี้ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโคดมจักทรง อุบัติขึ้น. ในกาลนั้นท่านจักเกิดเป็นบุตรของมัลลกษัตริย์นามว่า ทัพพะ มีอายุ ๗ ขวบโดยกำเนิด จักออกบรรพชา แล้วกระทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัตตผล และจักได้ฐานันดรนี้. จำเดิมแต่นั้นมาท่านบำเพ็ญกุศลมีทาน ศีล เป็นต้นอยู่ ได้เสวยสมบัติในเทวดาและมนุษย์ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ได้กระทำให้แจ้งพระอรหัตตผลเช่นกับพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงพยากรณ์แล้วนั่นแล. ลำดับนั้น เมื่อท่าน พระทัพพมัลลบุตรผู้อยู่ในที่สงัด ดำริอยู่ว่า เราพึงทำการขวนขวายแก่สงฆ์ อย่างไรหนอแล ฐานะ ๒ นี้ปรากฎแจ่มแจ้งแล้ว เพราะความปรารถนา ในปางก่อนนั้น กระตุ้นเตือน ฉะนี้แล.
ครั้งนั้น ท่านได้มีความรำพึงนี้ว่า เราแล ไม่เป็นอิสระในตนเอง, เราอยู่ในสำนักเดียวกับพระศาสดา, ถ้าหากพระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรง อนุญาตให้เราไซร้, เราจักสมาทานฐานะทั้ง ๒ นี้ แล้วได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า. เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงได้กล่าวว่า อถโข อายสฺมา ทพฺโพ มลฺลปุตฺโตฯ เปฯ ภตฺตานิ จ อุทฺทิสิตุํ ดังนี้.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยังท่านพระทัพพมัลลบุตรนั้น ให้รื่นเริงด้วยพระดำรัสว่า ดีละ ดีแล้ว ทัพพะ! จึงตรัสว่า ดูก่อน
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 481
ทัพพะ! ถ้าเช่นนั้น เธอจงแต่งตั้งเสนาสนะและแจกภัตตาหารแก่สงฆ์ เถิด, เพราะว่า ภิกษุผู้ห่างไกลจากการลำเอียงเพราะอคติเห็นปานนี้ ย่อม สมควรจัดการฐานะทั้ ง ๒ นี้.
สองบทว่า ภควโต ปจฺจสฺโสสิ มีความว่า ท่านพระทัพพมัลลบุตร กราบทูลรับสนองพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า คือ ทูลรับสนองตรง พระพักตร์. มีคำอธิบายว่า ทูลรับสนองตอบ.
ในคำว่า ปมํ ทพฺโพ ยาจิตพฺโพ นี้ มีคำถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้ขอ เพราะเหตุไร?
ตอบว่า เพื่อจะป้องกันความครหานินทา.
จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นว่า ในอนาคต อุปัทวะใหญ่ จักบังเกิดแก่ทัพพะ ด้วยอำนาจแห่งภิกษุชื่อเมตติยะและภุมมชกะเพราะ อาศัยฐานะนี้, บรรดาภิกษุเหล่านั้น บางพวกจักตำหนิว่า ท่านทัพพะนี้ เป็นผู้นิ่งเฉย, ไม่ทำการงานของตน มาจัดการฐานะเช่นนี้เพราะเหตุไร? ลำดับนั้น ภิกษุพวกอื่นจักกล่าวว่า โทษอะไรของท่านผู้นี้, ท่านผู้นี้ อันภิกษุเหล่านั้นแลขอตั้งแล้ว, เธอจักพ้นจากความครหานินทาด้วยอาการ อย่างนี้. แม้ครั้นให้ขอเพื่อเปลื้องความครหาอย่างนี้แล้ว เพราะเมื่อภิกษุ ที่สงฆ์ไม่ได้สมมติซ้ำอีก กล่าวคำอะไรๆ ในท่ามกลางสงฆ์จะเกิดการบ่นว่า เป็นธรรมดาว่า เพราะเหตุไร ท่านผู้นี้จึงกระทำเสียงดัง แสดงความเป็น ใหญ่ในท่ามกลางสงฆ์เล่า? แต่เมื่อภิกษุที่สงฆ์สมมติแล้วพูด จะมีผู้กล่าว ว่า พวกท่านอย่าได้พูดอะไรๆ , ท่านผู้นี้สงฆ์สมมติแล้ว จงพูดได้ตาม สบายเถิด, และภิกษุผู้กล่าวตู่ผู้ที่สงฆ์มิได้สมมติด้วยคำไม่จริง เป็นอาบัติเบา
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 482
เพียงทุกกฏ. แต่ผู้กล่าวตู่ภิกษุที่สงฆ์สมมติแล้ว เป็นอาบัติปาจิตตีย์ที่หนัก กว่า, ทีนั้นภิกษุที่สงฆ์สมมติแล้ว จะเป็นผู้ถูกพวกภิกษุแม้ผู้จองเวรกำจัด ได้ยากยิ่ง เพราะเป็นอาบัติหนัก ฉะนั้น เพื่อจะให้สงฆ์สมมติท่านผู้มีอายุ นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า พยตฺเตน ภิกฺขุนา เป็นต้น.
ถามว่า ก็การให้สมมติ ๒ อย่าง แก่ภิกษุรูปเดียวควรหรือ?
ตอบว่า มิใช่แต่เพียง ๒ อย่างเท่านั้น, ถ้าสามารถ จะให้สมมติ ทั้ง ๑๓ อย่าง ก็ควร. แต่เมื่อภิกษุทั้งหลายไม่สามารถ แม้สมมติอย่างเดียว ก็ไม่สมควรให้แก่ภิกษุ ๒ หรือ ๓ รูป.
บทว่า สภาคานํ มีความว่า ผู้เสมอกันด้วยคุณ ไม่ใช่ผู้เสมอกัน โดยเป็นมิตรสนิทสนมกัน. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง ตรัสว่า เย เต ภิกฺขู สุตฺตนฺติกา เตสํ เอกชุณํ เป็นต้น. ก็ภิกษุ ผู้ทรงพระสูตรมีจำนวนเท่าใด, ท่านทัพพะคัดเลือกภิกษุเหล่านั้นแต่งตั้ง เสนาสนะอันสมควรแก่ภิกษุเหล่านั้นแลรวมกัน, แก่พวกภิกษุที่เหลือ ก็อย่างนั้น.
บทว่า กายทฬฺหีพหุลา ได้แก่ เป็นผู้มากไปด้วยการกระทำ ร่างกายให้แข็งแรง, อธิบายว่า เป็นผู้มากไปด้วยการบำรุงร่างกาย.
ข้อว่า อิมายปิเม อายสฺมนฺโต รตฺติยา ได้แก่ ด้วยความยินดี ในดิรัจฉานกถาอันเป็นเหตุขัดขวางต่อทางสวรรค์นี้.
บทว่า อจฺฉิสฺสนฺติ แปลว่า จักอยู่.
ข้อว่า เตฌชธาตุํ สมาปชฺชิตฺวา เตเนวาโลเกน มีความว่า ท่าน ผู้มีอายุนั้น เข้าจตุตถฌาน มีเตโชกสิณเป็นอารมณ์ ออกแล้วอธิษฐาน นิ้วมือให้สว่างด้วยอภิญญาญาณ (แต่งตั้งเสนาสนะ) ด้วยแสงสว่างที่โพลง
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 483
จากนิ้วมือ อันเตโชธาตุสมาบัติให้เกิดแล้วนั้น. ก็อานุภาพของพระเถระ อย่างนั้น ได้ปรากฏแล้ว ในสกลชมพูทวีป ต่อกาลไม่นานนัก. ชน ทั้งหลายสดับข่าวนั้น อยากเห็นอิทธิปาฏิหาริย์ของท่าน ได้พากันมา. พวกภิกษุแกล้งมาในเวลาวิกาลบ้าง ก็มี.
ข้อว่า เต สญฺจจิจ ทูเร อปทิสนฺติ มีความว่า ภิกษุเหล่านั้น ทั้งที่รู้อยู่ ก็พากันอ้างถึงสถานทีไกลๆ.
คือ อย่างไร?
คือ อ้างเอาโดยนัยนี้ว่า พระคุณเจ้าทัพพะ! ขอท่านจงแต่งตั้ง เสนาสนะให้พวกกระผมที่เขาคิชฌกูฏ ดังนี้ เป็นต้น.
คำว่า องฺคุลิยา ชลมานาย ปุรโต ปุรโต คจฺฉติ มีความว่า ถ้ามีภิกษุรูปเดียว, ท่านไปเอง ถ้ามีหลายรูป, ท่านนิรมิตอัตภาพเป็นอัน มาก ให้เป็นเช่นเดียวกับตนของท่านทั้งหมด.
ก็ในคำว่า เสนาสนํ ปญฺาเปติ อยํ มญฺโจ เป็นต้น มีวินิจฉัย ดังนี้:- เมื่อพระเถระกล่าวว่า นี้เตียง แม้อัตภาพทีนิรมิตก็กล่าวว่า นี้เตียง ในที่แห่งตนๆ ไปถึงแล้ว. แม้ในบททั้งปวงก็อย่างนั้น จริงอยู่ ปกตินี้ เป็นธรรมดาของอัตภาพนิรมิต คือ:-
เมื่อผู้มีฤทธิ์คนเดียวพูด อัตภาพนิรมิตทั้งหมด ก็พูดด้วย เมื่อผู้มีฤทธิ์คนเดียวนั่งนิ่ง อัตภาพนิรมิต เหล่านั้นทั้งหมด ก็นิ่งด้วย.
ก็ในวิหารใด เตียง ตั่ง เป็นต้น ไม่สมบูรณ์, ท่านย่อมให้บริบูรณ์ ด้วยอานุภาพของตน, การพูดนอกเรื่องของอัตภาพที่พระเถระนั้นนิรมิต ย่อมไม่มี.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 484
คำว่า เสนาสนํ ปญฺาเปตฺวา ปุนเทว เวฬุวนํ ปจฺจาคจฺฉติ มีความว่า ท่านย่อมไม่นั่งคุยเรื่องชนบทกับภิกษุเหล่านั้น กลับนาสู่ที่อยู่ ของตนทันที.
[แก้อรรถเรื่องพระเมตติยะและพระภุมมชกะ]
บทว่า เมตฺติยภุมฺมชกา ได้แก่ ภิกษุเหล่านี้ คือ ภิกษุชื่อเมตติยะ ๑ ภิกษุชื่อภุมมชกะ ๑ เป็นบุรุษชั้นหัวหน้าแห่งพวกภิกษุฉัพพัคคีย์.
สองบทว่า ลามกานิ จ ภตฺตานิ ได้แก่ ข้อนี้ คือ เสนาสน ะ อันเลวทราม ถึงแก่พวกภิกษุใหม่ก่อน ไม่เป็นข้อที่น่าอัศจรรย์เลย. แต่ ภิกษุทั้งหลายใส่สลากไว้ในกระเช้า หรือขนดจีวร เคล้าคละกันแล้วจับ ขึ้นทีละอันๆ แจกภัตให้ไป, ภัตแม้เหล่านั้นเป็นของเลวด้อยกว่าเขาทั้งหมด ย่อมถึงแก่ภิกษุเมตติยะและภุมมชกะนั้น เพราะเป็นผู้มีบุญน้อย.
ภัตที่ควรแจกให้ถึงตามลำดับคราวหนึ่งแม้ใด ชื่อว่า เอกวาริกภัต เป็นของประณีตแสนจะประณีต พึงประมวลให้แจกตั้งแต่พระเถระจนถึง พระนวกะ, แม้ภัตนั้น ในวันที่ถึงแก่ภิกษุเมตติยะและภุมมชกะนี้กลายเป็น ของเลว หรือพวกชาวบ้านพอเห็นภิกษุ ๒ รูปนั้น ไม่ถวายของประณีต กลับถวายของเลวๆ.
บทว่า อภิสงฺขริกํ ได้แก่ อันเขาปรุงผสมด้วยเครื่องปรุงต่างๆ. อธิบายว่า อันเขาตระเตรียมด้วยดี คือให้สำเร็จด้วยดี.
บทว่า กาณาชกํ ได้แก่ ข้าวปนรำ.
บทว่า พิลงฺคทุติยํ ได้แก่ คู่กับน้ำผักดอง.
บทว่า กลฺยาณภตฺติโก มีความว่า ภัตอย่างดี คือที่อร่อยแสน
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 485
จะประณีตของอุบาสกนั้น มีอยู่, เพราะเหตุนั้น อุบาสกนั้นจึงชื่อว่า กัลยาณภัตติกะ อุบาสกนั้น ปรากฏชื่อตามภัตนั่นแล เพราะเป็นผู้ถวาย ภัตประณีต.
สองบทว่า จตุกฺกภตฺตํ เทติ ได้แก่ ถวายภัตตาหารวันละ ๔ ที่. แต่โดยโวหารแห่งตัทธิตท่านกล่าวว่า จตุกภัต.
สองบทว่า อุปติฏฺฐิตฺวา ปริวิสติ มีความว่า อุบาสกนั้นสละการ งานทั้งหมด กระทำการบูชาและสักการะ แล้วยืนอังคาสอยู่ในที่ใกล้ๆ.
สองบทว่า โอทเนน ปุจฺฉนฺติ มีความว่า พวกคนถือข้าวสุกเข้า ไปหาแล้ว ถามว่า กระผมจะถวายข้าวสุก หรือขอรับ? อย่างนี้ เป็น ตติยาวิภัตติ ลงโนอรรถแห่งกรณะ. ในสูปะเป็นต้นก็มีนัยอย่างนี้.
บทว่า สฺวาตนาย มีความว่า การฉันภัตตาหารอันมีในวันพรุ่งนี้ ชื่อว่า สวาตนะ เพื่อประโยชน์แก่การฉันภัตตาหารในวันพรุ่งนี้นั้น ชื่อว่า สฺวาตนาย. มีคำอธิบายว่า เพื่อประโยชน์แก่การฉันภัตตาหาร ที่ควร กระทำในวันรุ่งขึ้น.
สองบทว่า อุทฺทิฏํ โหติ ได้แก่ เป็นของอันภัตตุทเทสก์ถวาย ให้ถึงแล้ว.
พระเถระไม่ได้คำนึงถึง จึงกล่าวคำนี้ว่า เมตฺติยภุมฺมชกานํ โข คหปติ ดังนี้.
จริงอยู่ ความที่ภิกษุเมตติยะและภุมมชกะนั้น เป็นผู้มีบุญน้อย มี พลังอย่างนี้ แม้พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยความเป็นผู้มีสติ อันไพบูลย์ ก็ไม่มีความคำนึงถึง.
ด้วยคำว่า เช ในคำว่า เย เช นี้ คหบดี ร้องเรียกนางทาสี.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 486
ข้อว่า หีโย โข อาวุโส อมฺหากํ มีความว่า ภิกษุเมตติยะและ ภุมมชกะ ปรึกษากันตลอดราตรี กล่าวหมายถึงส่วนแห่งวันที่ล่วงแล้วว่า หีโย (วันวาน).
บทว่า น จิตูตรูปํ ได้แก่ ไม่สมใจนึก. ภิกษุทั้งสองนั้นจำวัด ไม่หลับ เหมือนอย่างที่ตนเคยจำวัดหลับเท่าที่ตนต้องการในก่อน. มีคำ อธิบายว่า จำวัดได้นิดหน่อยเท่านั้น.
บทว่า พหารามโกฏฺเก ได้แก่ ภายนอกซุ้มประตูแห่งพระเวฬุ- วันวิหาร. บทว่า ปตฺตกขนฺธา ได้แก่ มีคอตก คือ นั่งงอกระดูกคอ (นั่งคอพับ).
บทว่า ปชฺณายนฺตา ได้แก่ ซบเซาอยู่.
คำว่า ยโต นีวาตํ ตโต ปวาตํ มีความว่า ณ ที่ใดอับลม คือ ไม่มีลมแม้แต่น้อย, ณ ที่นั้นเกิดมีลมพัดแรงขึ้น.
คำว่า อุทกํ มญฺเ อาทิตฺตํ ได้แก่ เหมือนน้ำถูกต้มให้เดือด.
[พระทัพพมัลลบุตรถูกสอบสวน]
ข้อว่า สรสิ ตฺวํ ทพฺพ เอวรูปํ กตฺต ความว่า ดูก่อนทัพพะ! เธอผู้ทำกรรมเห็นปานนี้ ยังระลึกได้อยู่หรือ? อีกอย่างหนึ่ง ความว่า ดูก่อนทัพพะ! เธอยังระลึกคำอย่างที่นางภิกษุณีกล่าวหาได้อยู่หรือ? ก็ ในคำนี้ บัณฑิตพึงประกอบเห็นใจความอย่างนี้ว่า เธอเป็นผู้กระทำกรรม อย่างที่นางภิกษุณีนี้กล่าวหาหรือ? แต่ปาฐะของพวกอาจารย์ผู้สวดว่า ภตฺวา ปรากฏตรงทีเดียว.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 487
ด้วยคำว่า ยถา มํ ภนฺเต ภควา ชานาติ นี้ พระเถระทูลชี้แจง ว่าอย่างไร? ทูลชี้แจงว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเป็นพระสัพพัญญู และข้าพระองค์ก็เป็นพระขีณาสพ, การเสพวัตถุ- กามไม่มีแก่ข้าพระองค์เลย, พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงทราบข้าพระองค์- นั้น, ข้าพระองค์จักต้องกล่าวอะไรในการเสพวัตถุกามนั้นเล่า? พึงทราบ ข้าพระองค์เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบนั่นแล.
ในคำว่า น โข ทพฺพ ทพฺพา เอวํ นิพฺเพเนฺติ นี้ บัณฑิตพึง เห็นใจความอย่างนี้ว่า ดูก่อนทัพพะ! ผู้ฉลาด คือบัณฑิต ย่อมไม่กล่าวหา เหมือนอย่างที่เธอกล่าวแก้คำกล่าวหา เพราะมีผู้อื่นเป็นปัจจัย (เพราะเชื่อ ผู้อื่น) , อนึ่งแล บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมกล่าวแก้คำกล่าวหาด้วยกรรมที่ตน รู้เองทั้งนั้น.
ด้วยคำว่า สเจ ตยา กตํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า อย่างไร? ทรงแสดงว่า เพราะว่า ใครๆ ไม่อาจทำบุคคลผู้ไม่ได้ทำ (ผิด) ให้เป็นผู้ทำ (ผิด) หรือผู้ทำ (ผิด) ให้เป็นผู้ไม่ทำ (ผิด) ด้วย กำลังคน หรือด้วยกำลังสนับสนุนของพรรคพวกได้; เพราะเหตุนั้น กรรมใดที่ตนทำเอง หรือมิได้กระทำก็ตาม ควรพูดแต่กรรมนั้นเท่านั้น.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร? พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ทรงทราบอยู่ แต่ไม่ตรัสว่า เรารู้อยู่ เธอเป็นพระขีณาสพ, โทษของเธอไม่มี ภิกษุณี นี้กล่าวเท็จ.
แก้ว่า เพราะทรงมีความเอ็นดูผู้อื่น. ก็ถ้าว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า พึงตรัสทุกๆ เรื่องที่พระองค์ทรงทราบ, พระองค์ถูกผู้อื่นซึ่งต้องปาราชิก แล้วถาม จำต้องตรัสคำว่า เรารู้อยู่, เธอเป็นปาราชิก. แต่นั้น บุคคลนั้น
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 488
พึงผูกอาฆาตว่า เมื่อก่อนพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ ทรงทำให้พระทัพพมัลลบุตรบริสุทธิ์ ได้ บัดนี้ทรงทำเราให้เป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ได้, ต่อไปนี้ เราจะพูดอะไรแก่ใครได้เล่า? ในฐานะที่แม้พระศาสดายังทรงถึงความ ลำเอียงในหมู่สาวก, ความเป็นพระสัพพัญญูของพระศาสดานี้ จักมีแต่ที่ ไหนเล่า? ดังนี้แล้ว ต้องเป็นผู้เข้าถึงอบาย. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบอยู่ก็ไม่ตรัส เพราะทรงมีความเอ็นดูผู้อื่นนี้. มีคำที่ควร กล่าวเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัส เพราะทรงหลีก เลี่ยงคำค่อนขอด.
ก็ถ้าว่า พระะผู้มีพระภาคเจ้า พึงตรัสอย่างนี้, จะพึงมีการกล่าว ค่อนขอดอย่างนี้ว่า ชื่อว่า การออกจากอาบัติของพระทัพพมัลลบุตรหนัก. แต่ได้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสักขีพยานจึงออกได้. และพวกปาปภิกษุ เข้าใจลักษณะแห่งการออกจากอาบัตินี้ อย่างนี้ว่า ถึงในครั้งพุทธกาล ความบริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์ ย่อมมีได้ด้วยพยาน, พวกเรารู้อยู่, บุคคล นี้เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ดังนี้ พึงทำให้ภิกษุ แม้ผู้มีความละอายพินาศแล. อีกนัยหนึ่ง แม้ในอนาคต พวกภิกษุเมื่อเรื่องวินิจฉัยแล้ว จักให้โจทก์ โจท แล้วให้จำเลยให้การว่า ถ้าท่านทำ จงกล่าวว่า ข้าพเจ้าทำ แล้ว ถือเอาแต่ปฎิญญาของพวกลัชชีภิกษุ กระทำกรรม; เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงตั้งแบบแผนในลักษณะแห่งวินัย จึงไม่ตรัสว่า เรารู้อยู่ ตรัสว่า ถ้าเธอทำ จงกล่าวว่า ข้าพเจ้าทำ ดังนี้.
ข้อว่า นาภิชานามิ สุปินนฺเตนปิ เมถุนํ ธมฺมํ ปฏิเสวิตา มีความ ว่า แม้โดยความฝันข้าพระองค์ก็ยังไม่รู้จักเสพเมถุนธรรม มีคำอธิบายว่า
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 489
ข้าพระองค์มิได้เสพ. อีกอย่างหนึ่ง มีรูปความที่ท่านกล่าวไว้ว่า ข้าพระองค์ไม่รู้จักเมถุนธรรม แม้โดยความฝันว่าเป็นผู้เสพ. แต่ปาฐะของ พวกอาจารย์ผู้สวดว่า ปฏิเสวิตฺวา ปรากฏตรงทีเดียว.
คำว่า ปเคว ชาคโร มีความว่า ก็ข้าพระองค์ตื่นอยู่ ไม่รู้จักมา ก่อนทีเดียว.
คำว่า เตนหิ ภิกฺขเว เมตฺตํยํ ภิกฺขุนึ นาเสถ มีคำอธิบายว่า เพราะคำของพระทัพพมัลลบุตรและภิกษุณีเมตติยานี้ ไม่เชื่อมต่อกัน; ฉะนั้น พวกเธอจงนาสนะภิกษุณีเมตติยาเสีย. ในคำนั้น นาสนะมี ๓ อย่าง คือ ลิงคนาสนะ ๑ สังวาสนาสนะ ๑ ทัณฑกัมมนาสนะ ๑. บรรดานาสนะ เหล่านั้น นาสนะนี้ว่า สามเณรผู้ประทุษร้าย (นางภิกษุณี) สงฆ์พึงให้ ฉิบหายเสีย ชื่อว่า ลิงคนาสนะ. พวกภิกษุทำอุกเขปนียกรรม เพราะไม่ เห็น หรือไม่ทำคืนอาบัติก็ดี เพราะไม่สละทิฎฐิลามกเสียก็ดี นี้ ชื่อสังวาสนาสนะ. พวกภิกษุทำทัณฑกรรม (แก่สมณุเทศ) ว่า เจ้าคนเลว เจ้า จงไปเสีย จงฉิบหายเสีย นี้ ชื่อทัณฑกัมมนาสนะ. แต่ในฐานะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาลิงคนาสนะ จึงตรัสว่า พวกเธอจงนาสนะ ภิกษุณีเมตติยาเสีย ดังนี้.
ด้วยคำว่า อิเม จ ภิกฺขุ อนุยุญฺชถ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง แสดงพระประสงค์ นี้ว่า ภิกษุณีนี้ มิใช่ผู้กระทำตามธรรมดาของตน คง ถูกพวกภิกษุอื่นยุยงแน่นอน; เพราะเหตุนั้น พวกเธอจงสอบสวน คือ จงสืบสวนหา จงรู้ตัวภิกษุผู้ยุยงเหล่านี้.
ถามว่า ก็ภิกษุณีเมตติยา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับสั่งให้สึกเสีย ด้วยปฏิญญา หรือทรงให้สึกด้วยไม่ปฏิญญา.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 490
แก้ว่า ในการทักท้วงนี้ มีคำที่จะต้องกล่าวเพิ่มบ้างเล็กน้อย, ชั้น แรกถ้าทรงให้สึกด้วยปฏิญญา, พระเถระจะเป็นผู้กระทำ (ผิด) , ถ้าทรง ให้สึกด้วยไม่ปฏิญญา, พระเถระจะเป็นผู้ไม่ทำ (ผิด) ไม่มีโทษ.
[เรื่องตีความหมายบาลีพระวินัยผิดตกลงกันไม่ได้]
แม้ในกาลแห่งพระเจ้าภาติราช พระเถระสำนักมหาวิหารและ สำนักอภัยติรีวิหาร ได้มีการวิวาทกัน (ถกเถียงกัน) ในเพราะวาทะนี้แล. ฝ่ายสำนักอภัยติรีวิหาร อ้างสูตรของตนกล่าวว่า ในวาทะของพวกท่าน พระเถระเป็นผู้ทำ (ผิด). ฝ่ายสำนักมหาวิหารอ้างสูตรของตนกล่าวว่า ใน วาทะของพวกท่าน พระเถระเป็นผู้ทำ (ผิด). ปัญหาจึงตกลงกันไม่ได้. พระราชาทรงทราบ (ข่าวัน้น) แล้วรับสั่งให้พระเถระทั้งหลายประชุมกัน ทรงสั่งบังคับอำมาตย์เชื้อชาติพราหมณ์นามว่า ทีฆการายนะว่า เธอจงฟัง ถ้อยคำของพระเถระทั้งหลาย. ได้ยินว่า อำมาตย์เป็นบัณฑิต ฉลาดใน ภาษาอื่น. อำมาตย์นั้นกล่าวว่า ท่านขอรับ! ขอพระเถระจงกล่าวสูตร เถิด. ลำดับนั้น พระเถระสำนักอภัยติรีวิหาร ได้กล่าวสูตรของตนว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ถ้าเช่นนั้น พวกเธอจงให้นางภิกษุณีเมตติยาสึกเสีย ด้วยปฎิญญาของตน. อำมาตย์เรียนว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญ! ในวาทะของ พวกท่าน พระเถระเป็นผู้ทำ (ผิด) มีโทษ.
ฝ่ายพระเถระสำนักมหาวิหาร ได้กล่าวสูตรของตนว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย! ถ้าเช่นนั้น พวกเธอจงให้นางภิกษุณีเมตติยาสืกเสีย. อำมาตย์ เรียนว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญ! ในวาทะของพวกท่าน พระเถระไม่ใช่ผู้ทำ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 491
(ผิด) ไม่มีโทษ. ก็ใน ๒ สูตรนี้ สูตรไหนถูกเล่า? สูตรที่กล่าวภายหลัง ถูก, เพราะสูตรนี้ พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายวิจารณ์ไว้แล้ว.
ภิกษุตามกำจัดภิกษุด้วยอันติมวัตถุอันไม่มีมูล เป็นสังฆาทิเสส ตามกำจัด นางภิกษุณี เป็นทุกกฏ. แต่ในกุรุนทีกล่าวว่า เป็นปาจิตตีย์ เพราะมุสาวาท. ในนัยก่อนและนัยหลังนั้น มีการพิจารณาดังต่อไปนี้:- นัยต้น เป็นเพียงทุกกฏเท่านั้น ถูกก่อน เพราะมีความประสงค์จะตาม กำจัด. แม้เมื่อมีการกล่าวเท็จ ก็เป็นสังฆาทิเสสแก่ภิกษุ ในเพราะภิกษุ ด้วยกัน และแม้เมื่อมีการกล่าวเท็จ ก็เป็นปาจิตตีย์ เพราะโอมสวาท เท่านั้น แก่ภิกษุผู้มีความเห็นว่าบริสุทธิ์ โจทภิกษุผู้ไม่บริสุทธิ์ ด้วย ความประสงค์จะด่า ไม่ใช่เป็นปาจิตตีย์ เพราะสัมปชานมุสาวาท ฉันใด, แม้ในอธิการนี้ ก็ฉันนั้น เป็นปาจิตตีย์ เพราะสัมปชานมุสาวาท ไม่ถูก เพราะมีความประสงค์จะตามกำจัด. เป็นเพียงทุกกฏเท่านั้น ถูกแล้ว. แม้ นัยหลัง เป็นปาจิตตีย์อย่างเดียว ก็ถูก เพราะเป็นมุสาวาท. แต่จาก หลักฐานทางพระบาลี ไม่มีคำว่า เป็นสังฆาทิเสสแก่ภิกษุ ในเพราะภิกษุ ด้วยกัน ด้วยความประสงค์จะตามกำจัด, เป็นสังฆาทิเสสในเพราะภิกษุ ด้วยกัน แก่ภิกษุผู้มีความประสงค์จะด่า เพราะมุสาวาท, แต่เป็นทุกกฏ แก่ภิกษุผู้มีความประสงค์จะด่า ในเพราะโอมสวาท และเพราะตามกำจัด นางภิกษุณี, มีคำว่า เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะสัมปชานมุสาวาท; เพราะ เหตุนั้น เป็นปาจิตตีย์อย่างเดียว จึงถูก. ก็ในวาทะนั้นบัณฑิตควรพิจารณา ดังต่อไปนี้:-
ถามว่า เมื่อไม่มีความประสงค์จะตามกำจัด (โจท) เป็นปาจิตตีย์, เมื่อมีความประสงค์จะตามกำจัดนั้น จะพึงเป็นอะไรเล่า?
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 492
แก้ว่า บรรดาปาจิตตีย์และสังฆาทิเสสนั้น เพราะแม้เมื่อสำเร็จเป็น ปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้พูดเท็จ พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงปรับปาจิตตีย์ไว้ ต่างหาก ในเพราะการโจทด้วยสังฆาทิเสสไม่มีมูล; เพราะฉะนั้น เมื่อมี ความประสงค์จะโจท โอกาสแห่งปาจิตตีย์ ในเพราะสัมปชานมุสาวาท จึงไม่ปรากฎ และไม่อาจที่จะไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้โจทก์; เพราะฉะนั้น บรรดานัยทั้งสองนี้ นัยต้นแล ปรากฎว่า บริสุทธิ์กว่า.
อนึ่ง นางภิกษุณีโจทนางภิกษุณีด้วยอันติมวัตถุอันหามูลมิได้ เป็น สังฆาทิเสส, โจทภิกษุ เป็นทุกกฏ. บรรดาสังฆาทิเสสและทุกกฏนั้น สังฆาทิเสสเป็นวุฎฐานคามี (ออกได้ด้วยการอยู่กรรม) ทุกกฏเป็นเทสนาคามี (ออกได้ด้วยกายแสดง) การนาสนะภิกษุณี เพราะสังฆาทิเสสและ ทุกกฏเหล่านี้ จึงไม่มี. อนึ่ง นางภิกษุณีเมตติยานั้นยืนกล่าวเท็จต่อพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าใดเล่า ด้วยเหตุนั้น นางจึงเป็นปาจิตตีย์ ใน เพราะสัมปชานมุสาวาท, เพราะปาจิตตีย์แม้นี้นาสนะก็ไม่มี. แต่เพราะ นางภิกษุณีเมตติยานั้น ตามปกติแล เป็นภิกษุณีเลวทรามทุศีล, และ เดี๋ยวนี้นางก็กล่าวด้วยความสำคัญว่า เราเองแล เป็นผู้ทุศีล, เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงรับสั่งให้สึกนางภิกษุณีนั้นเสีย เพราะความเป็นผู้ไม่ บริสุทธิ์นั่นแล.
ข้อว่า อถโข เมตฺติยภุมฺมชกา มีความว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า พวกเธอจงให้นางภิกษุณีเมตติยาสึกเสียอย่างนี้ และจงสอบสวน ภิกษุเหล่านี้ แล้วเสด็จลุกจากอาสนะเข้าสู่พระวิหาร. ภิกษุเหล่านั้น เห็น นางภิกษุณีนั้น ถูกภิกษุเหล่านั้นให้สึกอยู่ ด้วยคำว่า พวกท่านจงให้ผ้า ขาวแก่ภิกษุณีนี้เดี่ยวนี้ จึงได้ประกาศความผิดของตน เพราะเป็นผู้มี
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 493
ความประสงค์จะช่วยนางภิกษุณีนั้นให้พ้นผิด. เพื่อแสดงเนื้อความนี้ พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลาย จึงกล่าวคำว่า อถโข เมตฺติยภุมฺมชกา เป็นอาทิ.
[แก้อรรถสิกขาบทวิภังค์สังฆาทิเสสที่ ๘]
สองบทว่า ทุฏฺโ โทโส ได้แก่ เป็นผู้ถูกโทสะประทุษร้ายและ เป็นผู้ประทุษร้าย. จริงอยู่ เมื่อโทสะเกิดขึ้นแล้ว บุคคลย่อมเป็นผู้ชื่อว่า ถูกโทสะนั้นประทุษร้ายแล้ว คือ ให้ละความเป็นปกติเสีย; เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า ทุฏฐะ (ขัดใจ). และผู้มีความขัดใจนั้น ย่อมประทุษร้าย ผู้อื่น คือทำผู้อื่นให้พินาศ; เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า โทสะ. ด้วย ประการอย่างนี้ คำว่า ทุฏฺโ โทโส นี้ แสดงโดยความต่างแห่งอาการ ของบุคคลเพียงคนเดียว ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทุฏฺโ โทโสติ ทูสิโต เจว ทูสโก จ. ในคำว่า ทุฏฺโ โทโส นั้น ผู้ศึกษาควรค้นหา ลักษณะแห่งศัพท์. ก็เพราะว่า บุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยความแค้นเคืองนั้น ถึงการนับว่า ขัดใจ มีโทสะ ย่อมเป็นผู้ตั้งอยู่ในความเป็นผู้โกรธเป็นต้น ทีเดียว; เพราะเหตุนั้น ในบทภาชนะแห่งสองบทว่า ทุฏฺโ โทโส นั้น ท่านจึงกล่าวคำมีคำว่า กุปิโต เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุปิโต ได้แก่ ถึงภาวะกำเริบ คือภาวะ ที่เคลื่อนไปจากปกติ.
บทว่า อนตฺตมโน ได้แก่ ผู้ไม่มีใจเป็นของตน คือมีจิตไม่ ตั้งอยู่ในอำนาจของตน. อีกอย่างหนึ่ง ผู้มีใจอันปีติและสุขไม่ซึมซาบ คือมีจิตตกไปเสียจากปีติและสุข; เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อนัตตมนะ (ไม่ถูกใจ).
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 494
บทว่า อนภิรทฺโธ คือ ไม่ประสบความสุข, อีกอย่างหนึ่ง ผู้ไม่ถึง ความแจ่มใส; ฉะนั้น จึงชื่อว่า อนภิรัทธะ (ไม่พอใจ). จิตของเขานั้น ถูกปฏิฆะกระทบแล้ว; เหตุนั้น เขาจึงชื่อว่า อาหตจิตตะ (แค้นใจ). ตะปู คือ ปฏิฆะ กล่าวคือ ความที่จิตแข้งกระด้าง และจิตยุ่งเหยิงดุจ หยากเยื่อ เกิดแล้วแก่บุคคลนั้น; เพราะฉะนั้น ผู้นั้น จึงชื่อว่า ขีลชาตะ (เจ็บใจ).
บทว่า อปฺปตีโต ได้แก่ ไม่ถึงเฉพาะ (ไม่แช่มชื่น) คือเว้นจากปีติ และสุขเป็นต้น, ความว่า อันปีติและสุขเป็นต้นไม่ซาบซ่าน. แต่ในบท ภาชนะท่านพระอุบาลีกล่าวว่า เตน จ โกเปน เป็นต้น เพื่อแสดงธรรม ทั้งหลายที่มีอำนาจทำให้ไม่แช่มชื่น.
บรรดาบทเหล่านั้น คำว่า เตน จ โกเปน ได้แก่ เพราะความ โกรธที่เป็นเหตุให้เรียกภิกษุนั้นว่า ผู้มีความขัดใจ และโกรธ. แท้จริง คำทั้งสองนี้อาการเดียวกัน เพราะให้ละปกติภาพ.
คำว่า เตน จ โทเสน ได้แก่ เพราะโทสะที่เป็นเหตุให้เรียกภิกษุ นั้นว่า มีโทสะ. ด้วยบททั้ง ๒ นี้ ท่านพระอุบาลีแสดงสังขารขันธ์ เหมือนกัน.
คำว่า ตาย จ อนตฺตมนตาย ได้แก่ เพราะความไม่ถูกใจที่เป็น เหตุให้เรียกภิกษุนั้นว่า ผู้ไม่ถูกใจ.
คำว่า ตาย จ อนภิรทฺธิยา ได้แก่ เพราะความไม่พอใจที่เป็นเหตุ ให้เรียกภิกษุนั้นว่า ผู้ไม่พอใจ. ด้วยคำทั้งสองนี้ท่านพระอุบาลีแสดง เวทนาขันธ์.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 495
[อธิบายเรื่องอธิกรณ์มีมูลและไม่มีมูล]
ในคำว่า อมูลเกน ปาราชิเกน นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:- ปาราชิกนั้น ไม่มีมูล; เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อมูลกะ. ก็ความที่ปาราชิกนั้นไม่มีมูลนั้น ทรงประสงค์เอาด้วยอำนาจแห่งโจทก์ ไม่ใช่ด้วยอำนาจ แห่งจำเลย เพราะฉะนั้น เพื่อทรงแสดงเนื้อความนั้น ในบทภาชนะ ท่านพระอุบาลีจึงกล่าวว่า ที่ชื่อว่าไม่มีมูล คือไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้ รังเกียจ.
ด้วยบทภาชนะว่า อหิฏฺํ เป็นต้นนั้น ท่านแสดงอธิบายนี้ไว้ว่า ปาราชิกที่โจทก์ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รังเกียจ ในตัวบุคคลผู้เป็นจำเลย ชื่อว่า ไม่มีมูล เพราะไม่มีมูล กล่าวคือการเห็น การได้ยิน และการ รังเกียจนี้. ก็จำเลยนั้น จะต้องปาราชิกนั้น หรือไม่ต้องก็ตามที, ข้อที่ จำเลยต้องหรือไม่ต้องนี้ ไม่เป็นประมาณในสิกขาบทนี้.
ในบทว่า อทิฏฺํ เป็นต้นนั้น ที่ชื่อว่า ไม่ได้เห็น คือไม่ได้เห็น ด้วยจักษุประสาท หรือด้วยทิพยจักษุของตน. ชื่อว่า ไม่ได้ยิน คือไม่ได้ ยินใครๆ เขาพูดกันเหมือนอย่างนั้น. ที่ชื่อว่า ไม่ได้รังเกียจ คือไม่ได้ รังเกียจด้วยจิต.
ที่ชื่อว่า ได้เห็น คือตนเองหรือคนอื่นได้เห็นด้วยจักษุประสาทหรือ ด้วยทิพยจักษุ. ที่ชื่อว่า ได้ยิน คือได้ยินมาเหมือนอย่างที่ได้เห็นนั่นเอง. ที่ชื่อว่า ได้รังเกียจ คือตนเอง หรือคนอื่นรังเกียจ. ในเรื่องได้เห็น เป็นต้น ตนเองได้เห็นมา จึงชื่อว่า ได้เห็น. แต่ลักษณะทั้งหมดนี้ คือ คนอื่นได้เห็น ตนเองได้ยิน คนอื่นได้ยิน คนอื่นได้รังเกียจ ตั้งอยู่ใน ฐานที่ตนได้ยินมาเท่านั้น. ก็เรื่องที่รังเกียจ มี ๓ อย่าง คือรังเกียจด้วย
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 496
อำนาจได้เห็น ๑ รังเกียจด้วยอำนาจได้ยิน ๑ รังเกียจด้วยอำนาจได้ทราบ ๑. ในเรื่องรังเกียจ ๓ อย่างนั้น ที่ชื่อว่า รังเกียจด้วยอำนาจได้เห็น คือ ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปยังพุ่มไม้แห่งหนึ่งใกล้หมู่บ้าน ด้วยการถ่ายอุจจาระและ ปัสสาวะ, หญิงแม้คนใดคนหนึ่ง ก็เข้าไปยังพุ่มไม้นั้นด้วยกรณียกิจบาง อย่างเหมือนกัน แล้วกลับไป, ทั้งภิกษุก็ไม่ได้เห็นผู้หญิง ทั้งผู้หญิงก็ไม่ ได้เห็นภิกษุ, ทั้งสองคนต่างก็หลีกไปตามชอบใจ ไม่ได้เห็นกันเลย, ภิกษุ อีกรูปหนึ่งกำหนดหมายเอาการที่คนทั้งสองออกไปจากพุ่มไม้นั้น จึง รังเกียจว่า ชนเหล่านี้กระทำกรรมแล้ว หรือจักกระทำแน่แท้ นี้ ชื่อว่า รังเกียจด้วยอำนาจได้เห็น.
ที่ชื่อว่า รังเกียจด้วยอำนาจได้ยิน คือคนบางคนในโลกนี้ ได้ยิน คำปฏิสันถารเช่นนั้นของภิกษุกับมาตุคาม ในโอกาสที่มืด หรือกำบัง คน อื่นแม้มีอยู่ในที่ใกล้ ก็ไม่ทราบว่า มี หรือไม่มี, เขารังเกียจว่า ชน เหล่านี้ทำกรรมแล้ว หรือว่า จักทำแน่นอน นี้ชื่อว่า รังเกียจด้วยอำนาจ ได้ยิน.
ที่ชื่อว่ารังเกียจด้วยอำนาจได้ทราบ คือ ตกกลางคืนพวกนักเลง เป็นอันมาก ถือเอาดอกไม้ของหอม เนื้อและสุราเป็นต้นแล้ว ไปยัง วิหารชายแดนแห่งหนึ่งพร้อมกับพวกสตรี เล่นกันตามสบายที่มณฑป หรือที่ศาลาฉันเป็นต้น ทิ้งดอกไม้เป็นต้นให้กระจัดกระจาย แล้วพากัน ไป, ในวันรุ่งขึ้น พวกภิกษุเห็นอาการแปลกนั้นแล้วพากันสืบหาว่า นี้ เป็นกรรมของใคร? ก็ในบรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุบางรูปลุกขึ้นแต่ เช้าตรู่ ปฏิบัติมณฑป หรือศาลาฉันด้วยมุ่งวัตรเป็นใหญ่ จำเป็นต้องจับ ต้องดอกไม้เป็นต้น, บางรูปต้องทำการบูชาด้วยดอกไม้เป็นต้น ที่ตนนำ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 497
มาจากตระกูลอุปัฏฐาก, บางรูปต้องดื่มยาดองชื่ออริฏฐะเพื่อเป็นยา. ครั้ง นั้น พวกภิกษุเหล่านั้นผู้สืบหาว่า กรรมนี้ของใคร? จึงดมกลิ่นมือและ กลิ่นปาก แล้วรังเกียจภิกษุเหล่านั้น, นี้ชื่อว่ารังเกียจด้วยอำนาจได้ทราบ.
ในเรื่องได้เห็นเป็นต้นนั้น เรื่องได้เห็นที่มีมูลก็มี ที่ไม่มีมูลก็มี, เรื่องได้เห็นนั่นเอง มีมูลด้วยอำนาจแห่งสัญญาก็มี ไม่มีมูลด้วยอำนาจ แห่งสัญญาก็มี. แม้ในเรื่องได้ยิน ก็นัยนี้. แต่ในเรื่องที่รังเกียจ เรื่องที่ รังเกียจด้วยอำนาจได้เห็น มีมูลก็มี, ไม่มีมูลก็มี, เรื่องที่รังเกียจด้วย อำนาจได้เห็นนั้นเอง มีมูลด้วยอำนาจแห่งสัญญาก็มี, ไม่มีมูลด้วยอำนาจ แห่งสัญญาก็มี. ในเรื่องที่รังเกียจ ด้วยการได้ยิน และการได้ทราบก็นัยนี้.
ในคำว่า มีมูลเป็นต้นนั้น เรื่องได้เห็นที่ชื่อว่ามีมูล คือเขาได้เห็น ภิกษุต้องปาราชิกจริงๆ แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าเห็น. ที่ชื่อว่า ไม่มีมูล คือเขาเห็นภิกษุออกมาจากโอกาสกำบัง แต่ไม่เห็นการล่วงละเมิด กล่าวว่า ข้าพเจ้าเห็น. เรื่องที่เห็นนั่นเอง ชื่อว่า มีมูลด้วยอำนาจแห่งสัญญา คือ เขาเพียงแต่ได้เห็นเท่านั้น เป็นผู้มีความสำคัญว่าได้เห็น แล้วโจท. ที่ ชื่อว่า ไม่มีมูลด้วยอำนาจแห่งสัญญา คือในเบื้องต้น เขาเห็นการล่วง ละเมิดด้วยปาราชิก ภายหลังกลับเกิดมีความสำคัญว่า ไม่ได้เห็น. ผู้นั้น ทำให้ไม่มีมูลด้วยสัญญา แล้วโจทว่า ข้าพเจ้าเห็น. แม้เรื่องที่รังเกียจ ด้วยอำนาจแห่งการได้ยิน และได้ทราบ ก็พึงทราบโดยพิสดารตามนัยนี้ แล. ก็ในสิกขาบทนี้ เมื่อภิกษุโจทภิกษุที่ตนเห็น แม้โดยอาการทุกอย่าง ด้วยปาราชิกที่มีมูล หรือมีมูลด้วยอำนาจแห่งสัญญา ไม่เป็นอาบัติ. เป็น อาบัติแต่เฉพาะภิกษุผู้โจท ด้วยปาราชิกอันหามูลมิได้ หรือไม่มีมูลด้วย อำนาจแห่งสัญญา.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 498
บทว่า อนุทฺธํเสยฺย ได้แก่ พึงกำจัด คือพึงขจัด ขมขู่ ครอบงำ. ก็เพราะภิกษุโจทด้วยตนเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นโจทก็ดี ชื่อว่า ย่อมทำการ กำจัดนั้นทั้งนั้น; ฉะนั้น ในบทภาชนะ ท่านพระอุบาลี จึงกล่าวว่า โจทเองก็ตาม ใช้ให้ผู้อื่นโจทก็ตาม.
ในสองบทว่า โจเทติ วา โจทาเปติ วา นั้น บทว่า โจเทติ มี ความว่า ภิกษุโจทเองด้วยคำเป็นต้นว่า ท่านเป็นผู้ต้องธรรมถึงปาราชิก ดังนี้ เป็นสังฆาทิเสสแก่ภิกษุนั้น ทุกๆ คำพูด.
บทว่า โจทาเปติ มีความว่า สั่งภิกษุอื่นผู้ยืนอยู่ใกล้ๆ กับตน, ภิกษุผู้รับสั่งนั้นโจทภิกษุนั้น ตามคำของภิกษุผู้สั่งนั้น, เป็นสังฆาทิเสส แก่ภิกษุผู้สั่งให้โจททุกๆ คำพูดเหมือนกัน. ที่นั้นฝ่ายภิกษุผู้รับสั่งนั้นโจท ว่า เรื่องที่ข้าพเจ้าได้เห็น ได้ยินมีอยู่ ดังนี้ ก็เป็นสังฆาทิเสสแก่ภิกษุ ทั้งสองรูปทุกๆ คำพูดเหมือนกัน.
[อธิบายลักษณะแห่งการโจทต่างๆ]
ก็แล เพื่อความฉลาดในประเภทแห่งการโจท ในสิกขาบทนี้ บัณฑิตพึงทราบจตุกกะเป็นต้นว่าวัตถุอย่างเดียว และผู้โจทย์ก็คนเดียว ก่อน. บรรดาจตุกกะเหล่านั้น ภิกษุรูปหนึ่งโจทภิกษุรูปหนึ่งด้วยวัตถุอัน หนึ่ง. การโจทนี้ มีวัตถุเดียว ผู้โจทก์ก็คนเดียว. ภิกษุมีจำนวนมาก ด้วยกัน โจทภิกษุรูปหนึ่งด้วยวัตถุอันหนึ่ง ดุจพวกภิกษุฉัพพัคคีย์ ๕๐๐ รูป มีภิกษุเมตติยะ และภิกษุภุมมชกะเป็นหัวหน้า โจทท่านพระทัพพมัลลบุตร ฉะนั้น การโจทนี้ มีวัตถุเดียว มีผู้โจทก์ต่างๆ กัน. ภิกษุ รูปหนึ่ง โจทภิกษุรูปหนึ่ง ด้วยวัตถุมากหลายด้วยกัน, โจทนี้มีวัตถุต่างๆ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 499
กัน มีผู้โจทก์คนเดียว. ภิกษุมีจำนวนมากด้วยกัน การโจทภิกษุมากรูป ด้วยกัน ด้วยวัตถุมากหลาย, การโจทนี้ มีวัตถุต่างกัน มีผู้โจทก์ต่างกัน.
ถามว่า ก็ใครย่อมได้เพื่อจะโจท ใครย่อมไม่ได้?
ตอบว่า ภิกษุบางรูปเชื่อคำของโจทก์ที่เพลา ย่อมไม่ได้เพื่อจะโจท ก่อน.
ที่ชื่อว่า โจทก์เพลา คือเมื่อพวกภิกษุมากด้วยกัน นั่งประชุม สนทนากัน ภิกษุรูปหนึ่งพูดถึงวัตถุปาราชิก ปรารภถึงภิกษุรูปหนึ่งไม่ เจาะจงตัว. ภิกษุอื่นได้ยินคำของภิกษุนั้น จึงไปบอกแก่ภิกษุเจ้าตัวนอก นี้. ภิกษุรูปนั้น จึงไปหาเธอ กล่าวว่า ได้ยินว่า ท่านพูดอย่างนี้ๆ ถึง ผมหรือ? เธอจึงตอบว่า ผมไม่รู้รูปการณ์จะเป็นอย่างนี้, แต่ในขณะที่ พูด มีถ้อยคำที่ผมพูดไม่เจาะจง, หากผมรู้ว่าคำพูดนี้ จะเกิดทุกข์แก่ท่าน, ผมจะไม่พึงพูดถ้อยคำแม้เท่านี้เลย. นี้ชื่อว่า โจทก์เพลา. โจทก์บางรูป ถือเอาคำพูดสนทนานั้นของเธอ ไม่ได้เพื่อจะโจทภิกษุนั้น. แต่พระมหาปทุมเถระไม่เชื้อถ้อยคำนี้ กล่าวว่า ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ย่อมได้เพื่อ จะโจทภิกษุ หรือภิกษุณี และภิกษุณีผู้มีศีลสมบูรณ์ ย่อมได้เพื่อจะโจท เฉพาะภิกษุณีเท่านั้น ดังนี้. ฝ่ายพระมหาสุมเถระกล่าวว่า สหธรรมิกทั้ง ๕ ย่อมได้ ดังนี้. ฝ่ายพระโคทัตตเถระกล่าวว่า ใครๆ จะไม่ได้เพื่อจะโจท หามิได้ แล้วอ้างสูตรนี้ว่า ฟังคำของภิกษุแล้วจึงโจท, ฟังคำของภิกษุณี แล้วจึงโจท, ฯลฯ ฟังคำของพวกสาวกเดียรถีย์แล้วจึงโจท. ในวาทะ ของพระเถระทั้ง ๓ รูป พึงปรับตามปฏิญญาของจำเลยเท่านั้น.
ก็ธรรมดาการโจทนี้ เมื่อภิกษุแม้ส่งทูตก็ดี หนังสือก็ดี ข่าวสาสน์ ก็ดี ไปโจท ยังไม่ถึงที่สุดก่อน. แต่เมื่อบุคคลยืนอยู่ในที่ใกล้ๆ โจท
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 500
ด้วยหัวแม่มือ หรือด้วยการเปล่งวาจาเท่านั้น จึงถึงที่สุด. จริงอยู่ การ บอกลาสิกขาบทอย่างเดียว ไม่ถึงที่สุดด้วยหัวแม่มือ ส่วนการตามกำจัด นี้ และการอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีจริง ย่อมถึงทีเดียว. ภิกษุใด หมาย โจทภิกษุรูปหนึ่งในสถานที่ภิกษุสองรูปยืนอยู่ด้วยกัน, ถ้ารูปที่เขาหมาย โจทนั้นรู้ตัว, การโจทนั้น ย่อมถึงที่สุด, อีกรูปหนึ่งรู้ยังไม่ถึงที่สุด. ผู้ โจทหมายโจททั้งสองรูป, รูปหนึ่งรู้ หรือว่า รู้ทั้งสองรูปก็ตาม ย่อม ถึงที่สุด. ในโจทก์มากรูปด้วยกัน ก็นัยนี้. อันธรรมดาว่า จะรู้ได้ใน ทันทีทันใดนั้น ทำได้ยาก. แต่เมื่อคิดคำนึงตามความรูปปกติ * จึงรู้ ก็จัด ว่าเป็นอันรู้ได้เหมือนกัน. ถ้ารู้ได้ในภายหลัง ยิ่งไม่ถึงที่สุด. จริงอยู่ สิกขาบทเหล่านี้ คือการบอกลาสิกขา อภูตาโรจนสิกขาบท ทุฏฐุลลวาจาสิกขาบท อัตตกามสิกขาบท ทุฎฐโทสสิกขาบท และภูตาโรจนสิกขาบท ทั้งหมดมีข้อกำหนดอย่างเดียวกันทั้งนั้น.
[อรรถกถาธิบายการโจท ๒ และ ๔ อย่างเป็นต้น]
ก็การโจททั้ง ๒ นี้ ด้วยอำนาจกายและวาจาอย่างนั้น ยังแยกเป็น ๓ อย่างได้อีก คือ โจทตามที่ได้เห็น โจทตามที่ได้ยิน โจทตามที่ รังเกียจ.
ยังมีการโจทอีก ๔ อย่าง คือโจทด้วยศีลวิบัติ ๑ โจทด้วยอาจารวิบัติ ๑ โจทด้วยทิฏฐิวิบัติ ๑ โจทด้วยอาชีววิบัติ ๑. บรรดาการโจท ๔ อย่างนั้น การโจทด้วยศีลวิบัติ พึงทราบด้วยอำนาจแห่งกองอาบัติหนัก
(๑) วิมติริโนทนีฎีกา สมเยนาติ ปกติยา ชานนกฺขเณ, แปลว่า คำว่าสมัย คือ ในขณะรู้ ได้ตามปกติ.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 501
๒ กอง. โจทด้วยอาจารวิบัติ พึงทราบด้วยอำนาจแห่งกองอาบัติที่เหลือ. โจทด้วยทิฏฐิวิบัติ พึงทราบด้วยอำนาจแห่งมิจฉาทิฏฐิและอันตคาหิกทิฏฐิ. โจทด้วยอาชีววิบัติ พึงทราบด้วยอำนาจแห่งสิกขาบท ๖ ที่ทรงบัญญัติ เพราะอาชีพเป็นเหตุ.
การโจทยังมีอีก ๔ อย่าง คือโจทระบุวัตถุ ๑ โจทระบุอาบัติ ๑ การห้ามสังวาส ๑ การห้ามสามีจิกรรม ๑. บรรดาการโจท ๔ อย่างนั้น โจทที่เป็นไปอย่างนี้ว่า ท่านเสพเมถุนธรรม, ท่านลักทรัพย์, ท่านฆ่า มนุษย์, ท่านอวดคุณวิเศษที่ไม่เป็นจริง ชื่อว่า โจทระบุวัตถุ. โจทที่ เป็นไปโดยนัยมีอาทิอย่างนั้นว่า ท่านต้องเมถุนธรรมปาราชิกาบัติ ชื่อว่า โจทระบุอาบัติ. โจทที่เป็นไปอย่างนี้ว่า อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆ- กรรมก็ดี ร่วมกับท่านไม่มี ชื่อว่า การห้ามสังวาส. แต่ด้วยอาการเพียง เท่านี้ การโจทยังไม่ถึงที่สุด. เมื่อพูดเชื่อมต่อกับคำเป็นต้นว่า ท่านไม่ เป็นสมณะ ไม่ใช่เหล่ากอแห่งศากยบุตร จึงถึงที่สุด. การไม่กระทำกรรม มีการกราบไหว้ ลุกรับ ประคองอัญชลี และพัดวี เป็นต้น ชื่อว่า การ ห้ามสามีจิกรรม.
การไม่ทำสามีจิกรรมนั้น พึงทราบ ในเวลาที่ภิกษุผู้กำลังทำการ กราบไหว้เป็นต้นตามลำดับ ไม่กระทำแก่ภิกษุรูปหนึ่ง กระทำแก่ภิกษุที่ เหลือ. ก็ด้วยอาการเพียงเท่านี้ ชื่อว่า โจท. ส่วนอาบัติยังไม่ถึงที่สุด. แต่เมื่อถูกถามว่า ทำไม ท่านจึงไม่กระทำการกราบไหว้เป็นต้น แก่เราเล่า? แล้วพูดเชื่อมต่อ ด้วยคำเป็นต้นว่า ท่านไม่ใช่สมณะ ท่านไม่ใช่เหล่ากอ แห่งศากยบุตร นั่นแหละ อาบัติจึงถึงที่สุด. ก็ภิกษุอาปุจฉาสิ่งที่ตนต้อง การด้วยข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้น, ด้วยคำเพียงเท่านั้น ยังไม่จัดเป็น
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 502
การโจท. ในปาฎิโมกขัฏฐปนขันธกะ ท่านพระอุบาลีเถระกล่าวโจทไว้ อีกถึง ๑๑๐ อย่าง คือการโจทที่ไม่เป็นธรรม ๕๕ ที่เป็นธรรม ๕๕ อย่าง นี้ คือแต่งตั้งแต่พระดำรัสที่ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! การพักปาฏิโมกข์ ที่ไม่เป็นธรรมมีหนึ่ง, การพักปาฏิโมกข์ที่เป็นธรรมมีหนึ่ง จนถึงการพัก ปาฏิโมกข์ที่ไม่เป็นธรรม ๑๐ การพักปาฏิโมกข์ที่เป็นธรรม ๑๐. การ โจทเหล่านั้น เป็น ๓๓๐ คือ ของภิกษุผ้โจทด้วยการได้เห็นเอง ๑๑๐, ของภิกษุผู้โจทด้วยการได้ยิน ๑๑๐, ของภิกษุผู้โจทด้วยความรังเกียจ ๑๑๐ การโจทเหล่านั้น เอา ๓ คูณ คือสำหรับภิกษุผู้โจทด้วยกาย ผู้โจทด้วย วาจา ผู้โจทด้วยกายและวาจา จึงรวมเป็น ๙๙๐. การโจท ๙๙๐ เหล่า นั้น ของภิกษุผู้โจทด้วยตนเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นโจทก็ดี มีจำนวนเท่านั้น เหมือนกัน; เพราะฉะนั้น จึงเป็นโจท ๑,๙๘๐ อย่าง. บัณฑิตพึงทราบ อีกว่า การโจทมีหลายพัน ด้วยอำนาจโจทที่มีมูลและไม่มีมูล ในความ ต่างแห่งมูลมีเรื่องที่ได้เห็นเป็นต้น.
[อธิบายโจทก์และจำเลยตามอรรถถานัย]
อนึ่ง พระอรรถกถาจารย์พระอรรถกถาจารย์ในฐานะนี้แล้ว นำเอาสูตรเป็นอัน มากที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ในอุบาลีปัญจกะเป็นต้น อย่างนั้นว่า ดูก่อนอุบาลี! ภิกษุผู้ประสงค์จะรับอธิกรณ์ พึงรับอธิกรณ์ประกอบด้วย องค์ ๕๑ และว่า ดูก่อนอุบาลี! ภิกษุผู้โจทก์ประสงค์จะโจทผู้อื่น พึง พิจารณาธรรม ๕ อย่างในตนแล้ว โจทผู้อื่น๒ ดังนี้ แล้วกล่าวลักษณะ อธิกรณ์ ธรรมเนียมของโจทก์ ธรรมเนียมของจำเลย กิจที่สงฆ์จะพึงทำ และธรรมเนียมของภิกษุผู้ว่าความ (ผู้สอบสวน) ทั้งหมด โดยพิสดารไว้
(๑) วิ. ปริวาร. ๘/๔๖๕.
(๒) วิ. ปริวาร. ๘/๔๖๙.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 503
ในอรรถกถา. ข้าพเจ้าจักพรรณนาลักษณะอธิกรณ์เป็นต้นนั้น ในที่ตาม ที่มาแล้วนั่นแล.
ก็เมื่อเรื่องถูกนำเข้าในท่ามกลางสงฆ์แล้ว ด้วยอำนาจแห่งโจท อย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดาโจทซึ่งมีประเภทดังกล่าวแล้วนี้ สงฆ์พึงถาม โจทก์และจำเลยว่า พวกท่านจักพอใจด้วยการวินิจฉัยของพวกเราหรือ? ถ้าโจทก์และจำเลยกล่าวว่า พวกกระผมจักพอใจ สงฆ์พึงรับอธิกรณ์นั้น. แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายกล่าวว่า ขอพวกท่านวินิจฉัยดูก่อนเถิด ขอรับ! ถ้าการ วินิจฉัยนั้นจักควรแก่พวกกระผม, พวกกระผมจักยอมรับ, พึงกล่าวคำ มีอาทิว่า พวกท่านจงไหว้พระเจดีย์ก่อน แล้วพึงวิสัชนาทำพระสูตรให้ ยาว. ถ้าพวกเธอ เหน็ดเหนื่อยตลอดกาลนาน เป็นผู้มีบริษัทหลีกไปเสีย ขาดพรรคพวก จึงขอร้องใหม่, พระวินัยธรพึงห้ามเสียถึง ๓ ครั้ง แล้ว พึงวินิจฉัยอธิกรณ์ของพวกเธอ ในเวลาพวกเธอหมดความมานะจองหอง. และพวกภิกษุที่สงฆ์สมมติเมื่อจะวินิจฉัย ถ้ามีบริษัทหนาแน่นด้วยพวก อลัชชี, พึงวินิจฉัยอธิกรณ์นั้น ด้วยอุพพาหิกาญัตติ, ถ้าบริษัทหนาแน่น ด้วยพวกคนพาล, พึงกล่าวว่า พวกท่านจงแสวงหาพระวินัยธร ที่ชอบ พอของพวกท่านๆ เถิด ให้แสวงหาพระวินัยธรเอาเอง แล้วพึงระงับ อธิกรณ์นั้นโดยธรรม โดยวินัย โดยสัตถุศาสน์ ซึ่งเป็นเครื่องระงับ อธิกรณ์นั้น.
ก็ในธรรมวินัยและสัตถุศาสน์นั้น เรื่องที่เป็นจริง ชื่อว่า ธรรม. การโจทและการให้การ ชื่อว่า วินัย. ญัตติสมบัติและอนุสาวนาสมบัติ ชื่อว่า สัตถุศาสน์. เพราะฉะนั้น เมื่อโจทก์ยกเรื่องขึ้นฟ้อง พระวินัยธร
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 504
พึงถามจำเลยว่า เรื่องนี้ จริง หรือไม่จริง? พระวินัยธร สอบสวนเรื่อง อย่างนี้แล้ว โจทด้วยเรื่องที่เป็นจริง ให้จำเลยให้การแล้ว พึงระงับ อธิกรณ์นั้นด้วยญัตติสมบัติและอนุสาวนาสมบัติ.
ถ้าว่า ในโจทก์และจำเลยนั้น โจทก์เป็นอลัชชี โจทจำเลยผู้เป็น ลัชชี และโจทก์อลัชชีนั้นเป็นพาล ไม่ฉลาด, พระวินัยธรไม่พึงให้การ ซักถามแก่เธอ. แต่พึงกล่าวอย่างนี้ ท่านโจทภิกษุนั้นเพราะเรื่องอะไร? แน่นอนโจทก์นั้นจักกล่าวว่า ท่านเจริญ! ที่ชื่อว่ากิมหินัง นี้ คืออะไร? พึงส่งเธอไปเสียด้วยคำว่า ท่านไม่ระจักแม้คำว่า กิมหินัง (ท่านโจทภิกษุ นั้นในเพราะเรื่องอะไร). ท่านเป็นคนโง่เห็นปานนี้ ไม่ควรโจทผู้อื่น. พระวินัยธรไม่พึงให้การซักถามแก่เธอ. แต่ถ้าโจทก์อลัชชีนั้น เป็นบัณฑิต เฉลียวฉลาด สามารถจะกลบเกลื่อนให้สำเร็จได้ ด้วยเรื่องที่ได้เห็น หรือ ด้วยเรื่องที่ได้ยิน, พึงให้การซักถามแก่โจทก์นั้น แล้วกระทำกรรมตาม ปฏิญญาของจำเลยผู้เป็นลัชชีนั่นแล. ถ้าลัชชีโจทอลัชชี, และลัชชีนั้นเป็น คนโง่ ไม่เฉลียวฉลาด ไม่อาจจะให้คำตอบข้อซักถามได้, พระวินัยธร พึงให้นัยแก่เธอว่า ท่านโจทภิกษุนั้นเพราะเรื่องอะไร? เพราะเรื่องแห่ง ศีลวิบัติ หรือเพราะเรื่องแห่งวิบัติอย่างหนึ่ง ในบรรดาอาจารวิบัติเป็นต้น
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร จึงควรให้นัยอย่างนี้แก่ลัชชีนี้เท่านั้น ไม่ ควรให้แก่อลัชชีนอกนี้เล่า? การลำเอียงเพราะอคติ ไม่สมควรแก่พวก พระวินัยธรมิใช่หรือ?
แก้ว่า การลำเอียงเพราะอคติ ไม่สมควรเลย. แต่การให้นัยนี้ ไม่ จัดเป็นการลำเอียงเพราะอคติ. การนี้ชื่อว่าเป็นการอนุเคราะห์ธรรม. จริง
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 505
อยู่ สิกขาบทพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้ เพื่อต้องการข่มพวกอลัชชี และเพื่อต้องการยกย่องพวกลัชชี.
ในลัชชีและอลัชชีเหล่านั้น อลัชชีได้นัยแล้ว จักกลบเกลื่อนไป เสีย. ฝ่ายลัชชีได้นัยแล้ว จักกล่าวยืนยันในเรื่องที่ได้เห็น โดยความสืบ เนื่องกันกับเรื่องที่ได้เห็น ในเรื่องที่ได้ยิน โดยความสืบเนื่องกันกับเรื่อง ที่ได้เห็น ในเรื่องที่ได้ยิน โดยความสืบเนื่องกันกับเรื่องที่ได้ยิน. เพราะฉะนั้น การอนุเคราะห์ธรรม จึงสมควรแก่ลัชชีนั้น. ก็ถ้าว่าลัชชีนั้น เป็นบัณฑิต เฉลียวฉลาด ยืนยันพูด, แต่อลัชชีไม่ให้ปฏิญญา ด้วย ปฏิเสธว่า แม้เรื่องนี้ก็ไม่มี, ถึงเรื่องนั่นก็ไม่มี. พึงปรับตามปฏิญญาของ อลัชชีเหมือนกัน.
[ว่าด้วยเรื่องทำตามปฏิญญาของจำเลยลัชชีและอลัชชี]
ก็แลเพื่อแสดงใจความนั้น ผู้ศึกษาพึงทราบเรื่องดังต่อไปนี้:- ได้ยินว่า พระเถระจูฬาภัย ผู้ทรงไตรปิฎก แสดงวินัยแก่ภิกษุทั้งหลาย ภายใต้โลหปราสาท เลิกในเวลาเย็น. ในเวลาพระเถระนั้นเลิก ภิกษุ ๒ รูปผู้เป็นความกันในอรรถคดี ได้ยังถ้อยคำให้เป็นไป. รูปหนึ่งไม่ให้ ปฏิญญาโดยปฏิเสธว่า แม้เรื่องนี้ก็ไม่มี, ถึงเรื่องนั้นก็ไม่มี. คราวนั้น เมื่อปฐมยามยังเหลือน้อย พระเถระเกิดความเข้าใจว่าไม่บริสุทธิ์ในบุคคล นั้นว่า ผู้นี้ยืนยันพูด, แต่ผู้นี้ไม่ให้ปฏิญญา และเรื่องชักมาเป็นอุทาหรณ์ มีมาก, กรรมนี้ จักเป็นของอันบุคคลนั้นทำแล้วแน่นอน. ครั้งนั้น พระเถระได้ให้สัญญาที่แผ่นกระเบื้องเช็ดเท้าด้วยด้ามพัดแล้วกล่าวว่า คุณ! เราไม่สมควรจะวินิจฉัย, เธอจงให้คนอื่นวินิจฉัยเถิด. พวกภิกษุถามว่า เพราะเหตุไร ขอรับ? พระเถระได้บอกเนื้อความนั้น. ความเร่าร้อนเกิด
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 506
ขึ้นในกายของบุคคลผู้เป็นจำเลย. ครั้งนั้น จำเลยไหว้พระเถระแล้วกล่าวว่า ธรรมดาพระวินัยธรผู้เหมาะสมเพื่อวินิจฉัย ควรเป็นผู้เช่นท่านนั่นแหละ และผู้โจทก์ก็ควรเป็นเช่นท่านผู้นี้แล แล้วนุ่งผ้าขาวกล่าวว่า ผมทำให้ ท่านลำบากนานแล้ว ขอขมาพระเถระแล้วหลีกไป.
อลัชชีภิกษุถูกลัชชีภิกษุโจทอยู่อย่างนั้น เมื่อเรื่องแม้เป็นอันมากเกิด ขึ้นแล้ว ก็ไม่ให้ปฏิญญา. อลัชชีภิกษุนั้น พระวินัยธรไม่ควรกล่าวเลยว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ ทั้งไม่ควรกล่าวว่า เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์. บุคคลนี้ ชื่อว่าตาย ทั้งเป็น ชื่อว่าเน่าทั้งดิบ. ก็ถ้าว่า เรื่องแม้อื่นเช่นนั้นเกิดขึ้นแก่เขา, พระวินัยธรไม่ต้องวินิจฉัย. เขาจักต้องฉิบหายไปอย่างนั้นนั่นเอง.
อนึ่ง ถ้าอลัชชีภิกษุโจทอลัชชีภิกษุด้วยกัน พระวินัยธรควรพูด แนะโจทก์นั้นว่า แน่ะคุณ! ผู้นี้ใครๆ ไม่อาจว่ากล่าวอะไร ตามคำของ คุณได้, กล่าวอย่างนั้นเหมือนกันกะฝ่ายจำเลย นอกนี้ แล้วส่งไปด้วย คำว่า พวกเธอทั้งสองจงร่วมสมโภคบริโภคกันอยู่เถิด, ไม่พึงทำการ วินิจฉัยแก่อลัชชีทั้งสองนั้น เพื่อประโยชน์แก่ศีล, แต่เพื่อประโยชน์แก่ บาตรและจีวร และบริเวณเป็นต้น ได้พยานสมควรแล้วจึงควรทำ.
ถ้าลัชชีภิกษุ โจทลัชชีภิกษุด้วยกัน และการวิวาทของพวกเธอมี เพียงเล็กน้อย ในเรื่องบางเรื่องเท่านั้น, พระวินัยธรพึงให้รอมชอมตกลง กัน ให้แสดงโทษล่วงเกินแล้วส่งไปด้วยคำว่า พวกเธอจงอยู่ทำอย่างนี้ ก็ถ้าในโจทก์และจำเลยนั้น จำเลยพูดพลั้งพลาดผิดไป, ตั้งแต่ต้น จำเลย ยังไม่ชื่อว่าเป็นอลัชชี. และจำเลยนั้น ไม่ให้ปฏิญญาเพื่อต้องการรักษา พรรคพวก. พวกมากลุกขึ้นด้วยกล่าวว่า พวกเราไม่เชื่อ พวกเราไม่เชื่อ. จำเลยนั้น จะเป็นผู้บริสุทธิ์ครั้งเดียว หรือ ๒ ครั้ง ตามปฏิญญาของพวก
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 507
มากนั้นเถิด. แต่ถ้าเธอไม่ตั้งอยู่ในฐาน (เป็นลัชชี) จำเดิมแต่เวลาพูดผิด ไป. พึงให้การวินิจฉัย. *
[ว่าด้วยองค์ของโจทก์และจำเลย]
เมื่อเรื่องถูกนำมาเสนอในที่ประชุมท่ามกลางสงฆ์ ด้วยอำนาจแห่ง การโจทอย่างใดอย่างหนึ่งเช่นนี้ พระวินัยธรทราบการปฏิบัติในจำเลย และโจทก์แล้ว พึงทราบวินิจฉัยด้วยสามารถแห่งเบื้องต้น ท่ามกลางและ ที่สุดเป็นต้น เพื่อรู้จักสมบัติและวิบัติแห่งการโจทนั้นนั่นเอง. คืออย่างไร? คือการโจทมีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
การขอโอกาสว่า ข้าพเจ้าใคร่จะกล่าวกะท่าน, ขอท่านผู้มีอายุ จง กระทำโอกาสให้แก่ข้าพเจ้า ดังนี้ ชื่อว่า เบื้องต้นแห่งการโจท.
การโจทแล้วให้จำเลยให้การตามวัตถุที่ยกขึ้นบรรยายฟ้องแล้ววินิจ- ฉัย ชื่อว่า ท่ามกลางแห่งการโจท.
การระงับด้วยให้จำเลยทั้งอยู่ในอาบัติ หรืออนาบัติ ชื่อว่า ที่สุด แห่งการโจท.
การโจท มีมูลเท่าไร? มีวัตถุเท่าไร? มีภูมิเท่าไร?
การโจทมีมูล ๒ คือ มูลมีเหตุ ๑ มูลไม่มีเหตุ ๑ (มูลมีมูล ๑ มูล ไม่มีมูล ๑). มีวัตถุ ๓ คือ ได้เห็น ๑ ได้ยิน ๑ ได้รังเกียจ ๑. มีภูมิ ๕ คือจักพูดตามกาล จักไม่พูดโดยกาลไม่ควร ๑ จักพูดตามจริง จักไม่พูด โดยคำไม่จริง ๑ จักพูดด้วยคำอ่อนหวาน จักไม่พูดด้วยคำหยาบ ๑ จัก
(๑) สารัตถทีปนี ๓/๔๔, มี น ปฏิเสธ เป็น วินิจฺฉโย น ทาตพฺโพติ อลชฺชิภาวาปนฺนตฺตา ทาตพฺโพ แปลว่า ข้อว่า ไม่พึงให้วินิจฉัย คือ พึงให้วินิจฉัย เพราะถึงความเป็นอลัชชี.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 508
พูดถ้อยคำประกอบด้วยประโยชน์ จักไม่พูดคำที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ จักมีจิตประกอบด้วยเมตตาพูด จักไม่เพ่งโทษพูด ๑.
ก็ในการโจทนี้ บุคคลผู้เป็นโจทก์ พึงตั้งอยู่ในธรรม ๕ อย่าง ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในอุบาลีปัญจกะ โดยนัยเป็นต้นว่า เราเป็น ผู้มีกายสมาจารบริสุทธิ์หรือหนอแล. ผู้เป็นจำเลย พึงตั้งอยู่ในธรรม ๒ อย่าง คือในความจริง และความไม่โกรธ.
ข้อว่า อปฺเปว นาม นํ อิมมฺหา พฺรหฺมจริยา จาเวยฺยํ มีความว่า แม้ไฉนแล เราจะพึงให้บุคคลผู้นั้นเคลื่อนจากความประพฤติอันประเสริฐ นี้ได้. มีคำอธิบายว่า พึงตามกำจัดด้วยความประสงค์อย่างนี้ว่า พึงเป็น การดีหนอ ถ้าเราพึงให้บุคคลผู้นี้เคลื่อนจากพรหมจรรย์นี้ได้. แต่ในบท ภาชนะ ท่านพระอุบาลีกล่าวคำเป็นต้นว่า พึงให้เคลื่อนจากความเป็น ภิกษุ เพื่อแสดงเพียงปริยายแห่งคำว่า พึงให้เคลื่อนจากพรหมจรรย์ นี้ เท่านั้น.
บททั้งหลายมีขณะเป็นต้น เป็นไวพจน์ของสมัย.
หลายบทว่า ตํ ขณํ ตํ ลยํ ตํ มหุตฺตํ วีติวตฺเต ได้แก่ เมื่อขณะ นั้น เมื่อครู่นั้น เมื่อยามนั้น ล่วงเลยไปแล้ว จริงอยู่ คำว่า ตํ ขณํ เป็นต้นนี้ เป็นทุติยาวิภัตติ เพื่อเกิดเป็นสัตตมีวิภัตติ (ลงในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ).
ในสมนุคคาหิยมานนิเทศ ข้อว่า เยน วตฺถุนา อนุทฺธํสิโต โหติ มีความว่า จำเลยถูกโจทก์ตามกำจัด คือข่มเหง ครอบงำด้วยวัตถุใด ใน บรรดาวัตถุแห่งปาราชิก ๔.
ข้อว่า ตสฺมึ วตฺถุสฺมึ สมนุคฺคาหิยมาโน มีความว่า ในเรื่องที่
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 509
โจทก์กล่าวหานั้น โจทก์นั้น ถูกพระวินัยธรผู้ว่าความสอบสวน ไต่สวน คือพิจารณาอยู่โดยนัยเป็นต้นว่า ท่านเห็นอะไร? ท่านเห็นว่าอย่างไร?
ในอสมนุคคาหิยมานนิเทศ ข้อว่า น เกนจิ วุจฺจมาโน คืออันผู้ ว่าความ หรือใครคนใดคนหนึ่ง (ไม่ซักถาม). อีกอย่างหนึ่ง ความว่า ไม่ถูกผู้ว่าความสอบถาม ด้วยบรรดาวัตถุที่ได้เห็นเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง.
ก็บัณฑิตพึงทราบความสัมพันธ์แห่งบทมาติกาทั้ง ๒ นี้ ด้วยคำว่า ภิกขุ จ โทสํ ปติฏฺาติ นี้ข้างหน้า. จริงอยู่ มีรูปความที่ท่านกล่าวไว้ ดังนี้ว่า ก็แล ภิกษุอันผู้ใดผู้หนึ่งถือเอาตามก็ตาม ไม่ถือเอาตามก็ตาม อย่างนี้ (เชื่อก็ตาม ไม่เชื่อก็ตาม) ยืนยัน อิงอาศัยโทสะ คือปฎิญญา, เป็นสังฆาทิเสส. ก็คำนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ เพื่อแสดงกาลปรากฏ แห่งความเป็นอธิกรณ์ไม่มีมูลเท่านั้น. แต่ภิกษุผู้โจทก์ย่อมต้องอาบัติใน ขณะที่ตนโจทนั่นแล.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำว่า อธิกรณํ นาม เป็นต้น เพื่อ จะไม่ตรัสลักษณะอธิกรณ์ไม่มีมูลนั้น แสดงแต่ที่ยังไม่เคยมีเท่านั้น เพราะ ลักษณะแห่งอธิกรณ์ไม่มีมูล ได้ตรัสไว้แล้วในก่อน ในคำว่า อมูลกญฺเจว ตํ อธิกรณํ โหติ นี้.
[อธิบายคำว่าอธิกรณ์เป็นต้น]
เพราะ อธิกรณ์ในคำว่า อิธิกรณํ นาม นั้น โดยอรรถ คือเหตุ ย่อมมีแม้อย่างเดียว ด้วยอำนาจแห่งวัตถุมีต่างๆ กัน; เพราะเหตุนั้น เพื่อความแตกต่างกันนั้น แห่งอธิกรณ์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำ มีอาทิว่า จตฺตาริ อธิกรณานิ วิวาทาธิกรณํ ดังนี้.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 510
ถามว่า ก็อธิกรณ์นั่น ย่อมเป็นอันเดียว ด้วยอรรถคือเหตุอันใด อรรถคือเหตุอันนั้นเป็นอย่างไร?
แก้ว่า อรรถ คือ เหตุนั้น คือ ข้อที่อธิกรณ์เป็นเหตุที่จะพึงกระทำ ยิ่ง (ระงับ) ด้วยสมถะทั้งหลาย. เพราะเหตุนั้น สมถะทั้งหลายเที่ยว ปรารภ คือ อาศัย หมายเอาอธิกิจอันใดเป็นไป, อธิกิจอันนั้นพึงทราบว่า อธิกรณ์. แต่ในอรรถกถาทั้งหลายกล่าวว่า อาจารย์บางพวกกล่าวความยึดถือว่า อธิกรณ์, บางพวกกล่าวเจตนาว่า อธิกรณ์, บางพวกกล่าวความไม่ชอบใจ ว่า อธิกรณ์, บางพวกกล่าวโวหารว่า อธิกรณ์ บางพวกกล่าวบัญญัติ ว่า อธิกรณ์.
พระอรรถกถาจารย์เหล่านั้นวิจารณ์ซ้ำไว้อย่างนี้ว่า ถ้าความยึดถือพึง เป็นอธิกรณ์ไซร้, ภิกษุรูปหนึ่งถือเอาคดีปรึกษากันกับภิกษุผู้เป็นสภาคกัน เห็นโทษในคดีนั้นแล้วสละเสียอีก, อธิกรณ์นั้นของเธอ จักเป็นอันถึง ความระงับไป. ถ้าเจตนาพึงเป็นอธิกรณ์ไซร้, เจตนาที่เกิดขึ้นว่า เราจัก ถือเอาคดีนี้ ย่อมดับไป. ถ้าความไม่ชอบใจพึงเป็นอธิกรณ์ไซร้, ภิกษุ แม้ถือเอาคดีด้วยความไม่ชอบใจ ภายหลังไม่ได้ความวินิจฉัย หรือฝ่าย จำเลยขอขมาโทษแล้ว ย่อมสละเสีย. ถ้าโวหารพึงเป็นอธิกรณ์ไซร้, ภิกษุ เที่ยวพูดอยู่ ย่อมเป็นผู้นิ่งไม่มีเสียงในภายหลัง, อธิกรณ์นั้นของเธอ จัก เป็นอันถึงความระงับด้วยประการฉะนี้. เพราะเหตุนั้น บัญญัติจึงจัดเป็น อธิกรณ์.
แต่คำของพระอรรถกถาทั้งหลายนั้นนี้ แย้งพระบาลีมีอาทิอย่างนั้นว่า เมถุนธรรมปาราชิกาบัติ มีในส่วนนั้นแห่งเมถุนธรรมปาราชิกาบัติ ฯลฯ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 511
อาปัตตาธิกรณ์เป็นส่วนนั้น แห่งอาปัตตาธิกรณ์๑อย่างนี้ และว่า วิวาทาธิกรณ์ เป็นกุศลก็มี เป็นอัพยากฤต๒ ก็มี ดังนี้.
อันที่จริง พระอรรถกถาจารย์เหล่านั้น มิได้ประสงค์ข้อที่บัญญัติ เป็นกุศลเป็นต้น. และธรรมคือปาราชิก ที่มาในคำว่า อมูลเกน ปาราชิเกน ธมฺเมน นี้ จะได้ชื่อว่าเป็นบัญญัติ หามิได้. เพราะเหตุไ? เพราะเป็นอกุศลโดยส่วนเดียว.
จริงอยู่ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้ตรัสคำนี้แล้วว่า อาปัตตาธิกรณ์ เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากฤตก็มี. และปาราชิกไม่มีมูลนั่นใด ที่ทรงนิเทศไว้ในพระบาลีนี้ว่า อมูลเกน ปาราชิเกน ดังนี้. พระบาลีว่า อมูลกญฺเจว ตํ อธิกรณํ โหติ นี้ เป็นปฏินิเทศแห่งปาราชิกไม่มีมูลนั้น นั่นแล ไม่ใช่แห่งบัญญัติ. แท้จริง พระผู้มีพระภาคเจ้า จะได้ทรงนิเทศ ปาราชิกอื่น แล้วทรงปฏินิเทศปาราชิกอื่น หามิได้. แต่บุคคลนั้นถูก โจทก์ตราเอาว่า ล่วงธรรม คือปาราชิก ด้วยบัญญัติใด คือด้วยข้อหา อันใด, บัญญัติแม้นั้น จัดว่าไม่มีมูล ก็เพราะอธิกรณ์กล่าวคือปาราชิก เป็นของไม่มีมูล, แต่จัดเป็นอธิกรณ์ ก็เพราะบัญญัตินั้นเป็นไปในอธิกรณ์; เพราะเหตุนั้น คำว่า บัญญัติเป็นอธิกรณ์ ควรถูก โดยบรรยายนี้. แต่ อธิกรณ์ที่จัดว่าไม่มีมูล ย่อมไม่มีโดยปกติของตน. จะมีได้ก็สักว่าบัญญัติ เท่านั้น. แม้เพราะเหตุนั้น คำว่า บัญญัติจัดเป็นอธิกรณ์ ก็ควรจะถูก.
ก็แล ข้อที่บัญญัติจัดเป็นอธิกรณ์ โดยบรรยายดังกล่าวมานั้น ย่อม ถูกในสิกขาบทนี้เท่านั้น ไม่ถูกทุกๆ สิกขาบท. จริงอยู่ การบัญญัติ อธิกรณ์มีวิวาทาธิกรณ์เป็นต้น ไม่ใช่อรรถ คือเหตุ. แต่อรรถ คือเหตุ
(๑) วิ มหา. ๑/๓๘๙ - ๓๙๐.
(๒) วิ. จลฺล ๖/๓๓๔.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 512
ก็ได้แก่ข้อที่อธิกรณ์เหล่านั้น เป็นเหตุที่จะพึงกระทำยิ่ง (ระงับ) ด้วยสมถะ ทั้งหลายดังกล่าวแล้วในหนหลัง. ด้วยอรรถ คือเหตุนี้อย่างกล่าวมานี้ วิวาทบางอย่างในโลกนี้ เป็นวิวาทด้วย เป็นอธิกรณ์ด้วย; เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า วิวาทาธิกรณ์. ในอธิกรณ์ที่เหลือ ก็นัยนี้.
บรรดาอธิกรณ์ ๔ มีวิวาทาธิกรณ์เป็นต้นนั้น วิวาทที่อาศัยเภทกรวัตถุ ๑๘ อย่าง เกิดขึ้นอย่างนี้ คือพวกภิกษุในธรรมวินัยนี้ วิวาทกันว่า เป็นธรรม หรือว่า ไม่ใช่ธรรม ชื่อว่า วิวาทาธิกรณ์.
การกล่าวหากันอาศัยวิบัติ ๔ เกิดขึ้นอย่างนี้ คือภิกษุในพระธรรม วินัยนี้ ย่อมกล่าวหาภิกษุด้วยศีลวิบัติบ้าง ชื่อว่า อนุวาทากรณ์.
เฉพาะอาบัติเท่านั้นชื่อว่า อาปัตตาธิกรณ์ อย่างนี้คือ กองอาบัติ ทั้ง ๕ ชื่อว่า อาปัตตาธิกรณ์. กองอาบัติทั้ง ๗ ชื่อว่า อาปัตตาธิกรณ์.
ความเป็นกิจของสงฆ์ คือความเป็นกิจอันสงฆ์ต้องทำ ได้แก่ สังฆ- กิจ ๔ อย่างนี้คือ อปโลกนกรรม ญัตติกรรม ญัตติทุติยกรรม และ ญัตติจตุตถกรรม พึงทราบว่า กิจจาธิกรณ์. แต่ในอรรถนี้ประสงค์เอา อาปัตตาธิกรณ์ กล่าวคืออาบัติปาราชิกเท่านั้น. อธิกรณ์ที่เหลือมีวิวาทาธิกรณ์เป็นต้น ท่านกล่าวไว้ ด้วยอำนาจแห่งการขยายความ. แท้จริง อรรถแห่งศัพท์ว่าอธิกรณ์ มีเท่านี้. ในอรรถเหล่านั้น ปาราชิกเท่านั้น ประสงค์เอาในอธิการนี้. ปาราชิกนั้นเป็นอธิกรณ์ไม่มีมูล ด้วยมูลมีการ ได้เห็นเป็นต้นนั่นแล. และภิกษุนี้ยืนยันอิงอาศัยโทสะ คือเมื่อกล่าวคำ เป็นต้นว่า ข้าพเจ้าพูดเล่นเปล่าๆ ชื่อว่าย่อมปฏิญญา. เป็นสังฆาทิเสส แก่ภิกษุนั้นในขณะที่ตนโจทนั่นเองแล. นี้เป็นใจความแห่งสิกขาบทนั้น ซึ่งมีนิเทศ (การขยาย) ตามลำดับแห่งบทก่อน.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 513
[แก้อรรถบทภาชนีย์]
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงยกอาบัติขึ้นแสดงโดยพิสดาร ด้วยสามารถแห่งเรื่องของการโจท มีเรื่องที่ไม่ได้เห็นเป็นต้น ที่ตรัสไว้ โดยสังเขปแล้วนั้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า อทิฏฺสฺส โหติ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น คำว่า อหิฏฺสฺส โหติ ได้แก่ (จำเลย) เป็น ผู้อันโจทก์นั้นมิได้เห็น. อธิบายว่า บุคคลผู้ต้องธรรมถึงปาราชิกนั้น เป็น ผู้อันโจทก์นี้มิได้เห็น. แม้ในบทว่า อสฺสุตสฺส โหติ เป็นต้น ก็มีนัย เหมือนกันนี้.
สองบทว่า หิฏฺโ มยา มีคำอธิบายว่า ท่านเป็นผู้อันเราเห็นแล้ว. แม้ในบทว่า สุโต มยา เป็นต้นก็มีนัยอย่างนี้. บทที่เหลือในอธิกรณ์มี เรื่องที่ไม่ได้เห็นเป็นมูลชัดเจนทีเดียว. ส่วนในอธิกรณ์ที่มีมูลด้วยเรื่องที่ ได้เห็น พึงทราบความเป็นอธิกรณ์ไม่มีมูล เพราะความไม่มีแห่งมูล มี เรื่องที่ได้ยินเป็นต้น ที่ตรัสไว้อย่างนี้ว่า ถ้าโจทก์โจทภิกษุนั้นว่า ข้าพเจ้า ได้ยิน เป็นต้น.
ก็ในวาระของโจทก์ทั้งหมดนั่นแล ย่อมเป็นสังฆาทิเสสเหมือนกัน ทุกๆ คำพูด ด้วยอำนาจแห่งคำพูดคำหนึ่งๆ ในบรรดาคำเหล่านี้อันมา แล้วในที่อื่นว่า ท่านเป็นผู้ทุศีล มีธรรมเลว มีสมาจารอันไม่สะอาด น่า รังเกียจ มีการงานอันซ่อนเร้น มิใช่สมณะ ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ มิใช่ พรหมจารี ปฏิญญาว่าเป็นพรหมจารี เป็นผู้เน่าใน มีราคะชุม เกิดเป็น เพียงหยากเยื่อ เหมือนเป็นสังฆาทิเสสทุกๆ คำพูด ด้วยอำนาจคำหนึ่งๆ ในบรรดาคำเหล่านี้ อันมาแล้วในสิกขาบทนี้ว่า ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิก เป็นผู้มีใช่สมณะ ไม่ใช่เหล่ากอแห่งศากยบุตรฉะนั้น.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 514
ก็คำล้วนๆ เหล่านี้ว่า อุโบสถ หรือปวารณา หรือสังฆกรรม ร่วมกับท่าน ย่อมไม่มี ยังไม่ถึงที่สุดก่อน. แต่คำพูดที่เชื่อมต่อกับบทใด บทหนึ่งแล้วเท่านั้น บรรดาบทว่าทุศีลเป็นต้นอย่างนี้ว่า ท่านเป็นผู้ทุศีล อุโบสถก็ดี ร่วมกับท่านไม่มี และบรรดาบทว่า ท่านต้องธรรมถึงปาราชิก เป็นต้น ย่อมถึงที่สุด คือทำให้เป็นสังฆาทิเสส.
แต่พระมหาปทุมเถระกล่าวว่า เฉพาะบทเป็นต้นว่า เป็นผู้ทุศีล มี ธรรมเลว อย่างเดียว ซึ่งมิได้มาในบาลีในสิกขาบทนี้ ยังไม่ถึงที่สุด, แม้บทเหล่านี้คือ ท่านเป็นคนชั่ว ท่านเป็นสามเณรโค่ง ท่านเป็นมหา อุบาสก ท่านเป็นผู้ประกอบวัตรแห่งเจ้าแม่กลีเทพีผู้ประเสริฐ ท่านเป็น นิครนถ์ ท่านเป็นอาชีวก ท่านเป็นดาบส ท่านเป็นปริพาชก ท่านเป็น บัณเฑาะก์ ท่านเป็นเถยยสังวาส ท่านเป็นผู้เข้ารีตเดียรถีย์ ท่านเป็น ดิรัจฉาน ท่านเป็นผู้ฆ่ามารดา ท่านเป็นผู้ฆ่าบิดา ท่านเป็นผู้ฆ่าพระอรหันต์ ท่านเป็นผู้ทำสังฆเภท ท่านเป็นผู้ทำโลหิตุปบาท ท่านเป็น ภิกขุนีทูสกะ ท่านเป็นคนสองเพศ ย่อมถึงที่สุดทีเดียว. และพระมหาปทุมเถระอีกนั่นแหละ กล่าวในบทว่า ทิฏฺเ เวมติโก เป็นต้นว่า เป็น ผู้เคลือบแคลงด้วยส่วนใด ย่อมไม่เชื่อด้วยส่วนนั้น, ไม่เชื่อด้วยส่วนใด ย่อมระลึกไม่ได้โดยส่วนนั้น, ระลึกไม่ได้โดยส่วนใด ย่อมเป็นผู้หลงลืม โดยส่วนนั้น.
ฝ่ายมหาสุมเถระแยกบทหนึ่งๆ ออกเป็น ๒ บท แล้วแสดงนัย เฉพาะอย่างแห่งบทแม้ทั้ง ๔. คืออย่างไร? คือพึงทราบนัยว่า หิฏฺเ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 515
เวมติโก นี้ก่อน, ภิกษุเป็นผู้สงสัยในการเห็นบ้าง, ในบุคคลบ้าง, บรรดา การเห็นและบุคคลนั้น ย่อมเป็นผู้สงสัยในการเห็นอย่างนี้ว่า เป็นบุคคล ที่เราเห็น หรือไม่ใช่คนที่เราเห็น, เป็นผู้มีความสงสัยในบุคคลอย่างนี้ว่า คนนี้แน่หรือที่เราเห็นหรือคนอื่น. ย่อมไม่เชื่อการเห็นบ้าง บุคคลบ้าง, ย่อมระลึกไม่ได้ซึ่งการเห็นบ้าง บุคคลบ้าง, ย่อมเป็นผู้ลืมการเห็นบ้าง บุคคลบ้าง ด้วยประการอย่างนี้.
ก็บรรดาบทเหล่านี้ บทว่า เวมติโก ได้แก่ เกิดความสงสัย.
สองบทว่า โน กปฺเปติ ได้แก่ ย่อมไม่เชื่อ. บทว่า น สรตํ มีความว่า เมื่อคนอื่นไม่เตือน ก็ระลึกไม่ได้. แต่เมื่อใด คนเหล่าอื่นเตือนเธอให้ระลึกว่า ในสถานที่ชื่อโน้น ขอรับ! ในเวลาโน้น เมื่อนั้น จึงระลึกได้.
บทว่า ปมุฏโ มีความว่า บุคคลผู้แม้ซึ่งคนอื่นเตือนให้ระลึกอยู่ โดยอุบายนั้นๆ ก็ระลึกไม่ได้เลย. แม้วาระแห่งบุคคลผู้ให้โจท ก็พึงทราบ โดยอุบายนี้ ก็ในโจทาปกวารนั้น ลดบทว่า มยา ออกอย่างเดียว, บท ที่เหลือ ก็เช่นเดียวกับโจทกวารนั่นแล.
ต่อจากโจทาปกวารนั้น เพื่อแสดงชนิดแห่งอาบัติ และชนิดแห่ง อนาบัติ จึงทรงตั้งจตุกกะว่า อสุทฺเธ สุทฺธทิฏฺิ เป็นต้นแล้วทรงแสดง ขยายแต่ละบทออกไป ตามชนิดอย่างละ ๔ ชนิด. จตุกกะทั้งหมดนั้น ผู้ศึกษาอาจจะรู้ได้ ตามนัยแห่งพระบาลีนั้นแล. ก็ในการโจทนี้ พึงทราบ ความต่างกันแห่งความประสงค์อย่างเดียว. จริงอยู่ ธรรมดาว่า ความ ประสงค์นี้ มีมากอย่าง คือ ความประสงค์ในอันให้เคลื่อน ความประสงค์ ในการด่า ความประสงค์ในการงาน ความประสงค์ในการออก (จากอาบัติ)
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 516
ความประสงค์ในการพักอุโบสถและปวารณา ความประสงค์ในการสอบสวน ความประสงค์ในการกล่าวธรรม.
บรรดาความประสงค์เหล่านั้น ในความประสงค์ ๔ อย่างข้างต้น เป็นทุกกฏ แก่ภิกษุผู้ไม่ให้กระทำโอกาส, และเป็นสังฆาทิเสส แม้แก่ ภิกษุผู้ให้กระทำโอกาส แล้วตามกำจัด (โจท) ด้วยปาราชิกอันไม่มีมูล ซึ่งๆ หน้า, เป็นปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ตามกำจัด (โจท) ด้วยสังฆาทิเสส ไม่มีมูล, เป็นทุกกฏ แก่ภิกษุผู้ตามกำจัดด้วยอาจารวิบัติ, เป็นปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้กล่าวด้วยประสงค์จะด่า, เป็นทุกกฏ แก่ภิกษุผู้กล่าวด้วยกอง อาบัติแม้ทั้ง ๗ กอง ในที่ลับหลัง, เป็นทุกกฏอย่างเดียวแก่ภิกษุผู้กระทำ กรรมทั้ง ๗ อย่าง เฉพาะในที่ลับหลัง.
ส่วนในกุรุนที ท่านกล่าวว่า กิจด้วยการขอโอกาส ย่อมไม่มีแก่ ภิกษุผู้กล่าวว่า ท่านต้องอาบัติชื่อนี้ จงกระทำคืนอาบัตินั้นเสีย โดย ความประสงค์จะให้ออกจากอาบัติ. ในอรรถกถาทุกๆ อรรถกถาทีเดียว ไม่มีการขอโอกาสสำหรับภิกษุผู้พักอุโบสถและปวารณา แต่พึงรู้เขตแห่ง การพัก ดังนี้:- ก็เมื่อสวดยังไม่เลย เร อักษร นี้ว่า สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ อชฺชโปสโถ ปณฺเณรโส ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกฺลํ สงฺโฆ อุโปสถํ กเร ดังนี้ ไป ย่อมได้เพื่อจะพัก. แต่ถัดจากนั้นไป เมื่อถึง ย อักษร แล้ว ย่อมไม่ได้เพื่อพัก. ในปวารณาก็มีนัยอย่างนี้.
โอกาสกรรม ย่อมไม่มี แม้แก่ภิกษุผู้สอบสวนในเมื่อเรื่องถูกนำ เข้าเสนอแล้ว กล่าวอยู่ด้วยประสงค์จะสอบสวนว่า เรื่องอย่างนี้มีแก่ท่าน หรือ? แม้สำหรับพระธรรมกถึกผู้นั่งอยู่บนธรรมาสน์กล่าวธรรมไม่เจาะจง โดยนัยเป็นต้นว่า ภิกษุใดกระทำอย่างนี้และนี้, ภิกษุนี้มิใช่สมณะ ดังนี้
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 517
ก็ไม่ต้องมีการขอโอกาส. แต่ทว่ากล่าวเจาะจงกำหนดว่า ผู้โน้นๆ มิใช่สมณะ มิใช่อุบาสก ดังนี้ ลงจากธรรมาสน์แล้วควรแสดงอาบัติก่อนจึงไป. อนึ่ง พึงกราบใจความแห่งคำที่ท่านกล่าวไว้ในที่นั้นๆ ว่า อโนกาสํ กาเรตฺวา อย่างนี้ว่า โอกาสํ อกาเรตฺวา แปลว่า ไม่ให้กระทำโอกาส. จริงอยู่ ขึ้นชื่อว่าโอกาส ไม่สมควรบางโอกาส ที่โจทก็ให้ทำโอกาสแล้ว ยังต้องอาบัติจะไม่มี หามิได้. แต่โจทก์ไม่ให้จำเลยทำโอกาสจึงต้องอาบัติ ฉะนี้แล. คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
บรรดาสมุฏฐานเป็นต้น สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐาน ๓ คือ เกิดขึ้นทางกายกับจิต ๑ ทางวาจากับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา ฉะนี้แล.
ปฐมทุฏฐโทสสิกขาบทวรรณนา จบ