เป็นธรรมไม่ใช่เรา กับ ธาตุเลว
โดย sutta  23 ก.ย. 2551
หัวข้อหมายเลข 9939

ลองคิดพิจารณาระหว่างคำว่า ทุกอย่างเป็นธรรม เป็นธรรมไม่ใช่เรา กับคำว่า ธาตุเลว (อกุศล) ว่ามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างไร

ท่านอาจารย์ ใครฟังแล้วเกิดความคิดอย่างนี้บ้างไหมคะ ธาตุเลวก็ธาตุเลว (อกุศล) จะเดือดร้อนทำไม ธาตุเลวก็เป็นธาตุ คิดอย่างนี้หรือเปล่าคะ

ผู้ฟัง มีคิดเป็นบางครั้ง

ท่านอาจารย์ ก็แสดงว่ามีคนที่คิดอย่างนี้ใช่ไหมคะ เป็นธรรมก็เป็นธรรมไม่ใช่เรา ก็คิดสั้นๆ แต่ธรรมมีทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล ถ้าเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธาตุเลว (อกุศล) จะคิด แก้ธาตุเลวให้เป็นธาตุดีหรือเปล่า ใช่ไหมคะเพราะอะไรคะ เพราะยึดถือธาตุเลวนั้นว่า เป็นเรา และใครจะแก้ธาตุเลวนั้นได้ ยิ่งเลวไปทุกทีเพราะยึดถือว่าเป็นเรา และก็ไม่ทำอะไรด้วย ปล่อยให้เลวไปเรื่อยๆ แต่ว่าความเข้าใจจริงๆ ที่เข้าใจว่าเป็นธาตุ แต่ว่าเพราะ การไม่รู้ว่าเป็นธาตุทำให้ยึดถือธาตุว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นธาตุนั้นแหละ ที่เคยเป็นเรา เคยเข้าใจว่าเป็นเราจะดีขึ้นได้ไหม หรือว่าจะปล่อยไปให้เลวขึ้น หรือเลวลงไปเรื่อยๆ ไม่มีใครที่สามารถที่จะทำให้ธาตุเลวนะคะ ที่เกิดดับสืบต่อ และแต่ละคนจะมีธาตุเลว ระดับไหนก็แล้วแต่การสะสม ซึ่งคนอื่นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้เลย แต่ก่อนฟังพระธรรม ก่อนเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามีธาตุเลวไหม แต่มีปัญญาที่เห็นถูกต้อง ตามความเป็นจริงว่าธาตุเลวจะหมดสิ้นไปได้ ก็ต่อเมื่อมีปัญญา เพราะปัญญาเกิดแล้ว ย่อมละธาตุเลว จนกระทั่งเป็นธาตุปานกลาง (กุศล) จนกระทั่งเป็นธาตุที่ประณีต (ปัญญาระดับโลกุตตร ดับกิเลส)

ดังนั้นไม่ใช่ฟังธรรมเผินๆ ธรรมก็เป็นธรรม ก็ไม่ต้องทำอะไร ทำชั่วก็ได้ ทำดีก็ได้ ไม่ใช่เราเป็นธรรม นั่นคือไม่เข้าใจธรรม เพราะคิดอย่างนั้นก็เป็นธรรม ที่เห็นผิด และก็มีแต่จะยิ่งผิดหรือยิ่งเลว ด้วยเหตุนี้แม้จะเป็นธาตุเลวแต่ว่าธาตุเลวนี่แหละที่ยึดถือว่าเป็นเรา และก็ไม่มีใครที่สามารถบันดาลธาตุเลวของแต่ละคนที่เข้าใจว่า เป็นของเราให้หมดสิ้นไปได้นอกจากปัญญา เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้นะคะว่า ธาตุเลว มีประโยชน์หรือเปล่าหรือมีแต่โทษ แต่ต้องเป็นปัญญาที่เห็นนะคะ และก็มีผู้ทรงตรัสรู้ได้แสดงหนทางให้ธาตุเลวค่อยๆ หมดไปได้จนกระทั่งเป็นธาตุที่ประณีต (กุศลที่ดับกิเลส ได้) เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็ต้องเป็นการฟังอย่างละเอียดจริงๆ ที่ว่าธรรมก็เป็นธรรม ไม่ใช่เราก็ไม่เป็นไรหรืออะไรอย่างนั้น