เป็นเรา ด้วย ตัณหาเป็นเรา ด้วย ทิฏฐิเป็นเรา ด้วย มานะ กรุณาอธิบายสภาพความรู้สึก ประกอบกับ ความหมายของศัพท์ขออนุโมทนา
ขอเรียนถามเพิ่มเติมความเป็นเราด้วยตัณหา (ไม่มีความเห็นผิด) ต้องบรรลุโสดาบันแล้วเท่านั้นใช่ไหม กุศลจิตของปุถุชน ไม่ต่างกับพระอริยะ ก็ต่อเมื่อประกอบด้วยสติปัฏฐานใช่หรือไม่
ขออนุโมทนาขณะกุศลจิตเกิด
กรุณาตอบ คำถามในกระทู้ ๐๘๔๕๙โดย บักกะปอม ด้วย...ขออนุโมทนา
เป็นเราโดยทิฏฐิ คือ ความเห็นผิด จะไม่เกิดอีกเลยเมื่อเป็นพระโสดาบัน เป็นเราโดยตัณหา ต้องถึงความเป็นพระอรหันต์ โลภมูลจิตของปุถุชนและ พระเสขบุคคลเหมือนกัน กุศลจิตมีอารมณ์เป็นปรมัตถและบัญญัติเกิดกับบุคคลใด ก็เหมือนกัน พระอริยบุคคลไม่ได้มีปรมัตถอารมณ์ตลอด ท่านมีทั้งบัญญัติและปรมัตถ์
โลภมูลจิตของปุถุชนและพระเสขบุคคลเหมือนกัน คือเป็นอกุศล แต่พระเสขบุคคลไม่มีอนุสัยกิเลสอันเป็นพืชเชื้อที่จะนำไปสู่อบาย
ขอเรียนถามเพิ่มเติม...
๑ ขณะจิตที่มีบัญญัติเป็นอารมณ์ จิตขณะนั้นไม่มีสติปัฏฐานเกิดร่วมด้วยไม่ว่าจะเป็น บุคคลใดก็ตาม (เช่นพระอรหันต์และปุถุชน) ถูกหรือไม่
๒ กรุณาแนะนำความแตกต่าง ระหว่าง อกุศลมูลจิต และ อนุสัยกิเลส
ขอขอบคุณ และอนุโมทนา ทุกคำตอบ
๑. ถูกต้องค่ะ
๒. อกุศลจิต หมายถึงจิตที่ไม่ดีเกิดขึ้นแล้ว ต่างจากอนุสัยกิเลสคือกิเลสที่นอนเนื่อง เป็นกิเลสที่ยังละไม่ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยก็สามารถทำให้อกุศลประเภทอื่นๆ เกิดขึ้นค่ะ เพราะเป็นกิเลสที่ยังไม่ได้ละ เช่น วิจิกิจฉา เรายังละไม่ได้ มีเหตุมีปัจจัยก็เกิดอีกค่ะ