[เล่มที่ 36] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 529
ปฐมปัณณาสก์
อาหุเนยยวรรคที่ ๑
๑๐. มหานามสูตร
ว่าด้วยอนุสสติของพระอริยสาวก
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 36]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 529
๑๐. มหานามสูตร
ว่าด้วยอนุสสติของพระอริยสาวก
[๒๘๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ นิโครธาราม ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ครั้งนั้นแล เจ้าศากยะ พระนามว่า มหานามะ ได้เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อริยสาวกผู้ได้บรรลุ ทราบชัดพระศาสนาแล้ว ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมชนิดไหน เป็นส่วนมาก พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมหานามะ อริยสาวกผู้ได้บรรลุผล ทราบชัดพระศาสนาแล้ว ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ เป็นส่วนมาก คือ อริยสาวก ในพระศาสนานี้ ย่อมระลึกถึงพระตถาคตเนืองๆ ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชา และจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ดูก่อนมหานามะ สมัยใด อริยสาวก ย่อมระลึกถึงพระตถาคตเนืองๆ สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม ย่อมเป็นจิตดำเนินไปตรงทีเดียว ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรง เพราะปรารภพระตถาคต ย่อมได้ความรู้อรรถ ย่อมได้ความรู้ธรรม ย่อมได้ความปราโมทย์ อันประกอบด้วยธรรม เมื่อปราโมทย์แล้ว ย่อมเกิดปีติ เมื่อมีใจประกอบด้วยปีติ กายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบแล้ว ย่อมเสวยสุข เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น ดูก่อน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 530
มหานามะ นี้อาตมภาพกล่าวว่า อริยสาวก เป็นผู้ถึงความสงบเรียบร้อย อยู่ในเมื่อหมู่สัตว์ ยังไม่สงบเรียบร้อย เป็นผู้ไม่มีความพยาบาท อยู่ในเมื่อหมู่สัตว์ ยังมีความพยาบาท เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกระแสธรรม ย่อมเจริญพุทธานุสสติ.
ดูก่อนมหานามะ อีกประการหนึ่ง อริยสาวก ย่อมระลึกถึงพระธรรมเนืองๆ ว่า พระธรรม อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว อันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้ดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนจะพึงรู้เฉพาะตน ดูก่อนมหานามะ สมัยใด อริยสาวก ย่อมระลึกถึงพระธรรมเนืองๆ สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม... ก็อริยสาวก ผู้มีจิตดำเนินไปตรง เพราะปรารภพระธรรม ย่อมได้ความรู้อรรถ... เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกระแสธรรม ย่อมเจริญธัมมานุสสติ.
ดูก่อนมหานามะ อีกประการหนึ่ง อริยสาวก ย่อมระลึกถึงพระสงฆ์เนืองๆ ว่า สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อญายธรรม เป็นผู้ปฏิบัติชอบ นี้คือคู่บุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ นั่นคือ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ควรของคำนับ ควรของต้อนรับ ควรของทำบุญ ควรกระทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งไปกว่า สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระสงฆ์เนืองๆ สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม... ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรง เพราะปรารภพระสงฆ์ ย่อมได้ความรู้อรรถ... เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกระแสธรรม ย่อมเจริญสังฆานุสสติ.
ดูก่อนมหานามะ อีกประการหนึ่ง อริยสาวก ย่อมระลึกถึงศีลของตนเนืองๆ ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท อันวิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหาทิฏฐิ ไม่ยึดถือ เป็นไปพร้อมเพื่อสมาธิ ดูก่อนมหานามะ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 531
สมัยใด อริยสาวก ย่อมระลึกถึงศีลของตนเนืองๆ สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม... ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรง เพราะปรารภศีล... ย่อมได้ความรู้อรรถ... เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกระแสธรรม ย่อมเจริญสีลานุสสติ.
ดูก่อนมหานามะ อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมระลึกถึง การบริจาคของตนเนืองๆ ว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ คือเมื่อหมู่สัตว์ถูกมลทิน คือความตระหนี่กลุ้มรุม เรามีใจปราศจากมลทิน คือความตระหนี่ อยู่ครองเรือน เป็นผู้มีจาคะอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามืออันชุ่ม (คอยหยิบของบริจาค) ยินดีในการเสียสละ ควรแก่การขอ ยินดีในการจำแนกทาน ดูก่อนมหานามะ สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงการบริจาคเนืองๆ สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม... ก็อริยสาวก ผู้มีจิตดำเนินไปตรง เพราะปรารภจาคะ ย่อมได้ความรู้อรรถ... เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกระแสธรรม ย่อมเจริญจาคานุสสติ.
ดูก่อนมหานามะ อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมเจริญ เทวตานุสสติ (ความระลึกถึงเทวดาเนืองๆ) ว่า เทวดาเหล่าจาตุมหาราชมีอยู่ เทวดาเหล่าดาวดึงส์มีอยู่ เทวดาเหล่ายามามีอยู่ เทวดาเหล่าดุสิตมีอยู่ เทวดาเหล่านิมมานรดีมีอยู่ เทวดาเหล่าปรนิมมิตวสวัสดีมีอยู่ เทวดาเหล่าพรหมกายิกามีอยู่ เทวดาที่สูงกว่าเหล่าพรหมนั้นมีอยู่ เทวดาเหล่านั้น ประกอบด้วยศรัทธาเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้ว อุบัติในเทวดาชั้นนั้น ศรัทธาเช่นนั้น แม้ของเราก็มีอยู่ เทวดาเหล่านั้น ประกอบด้วยศีลเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้ว อุบัติในเทวดาชั้นนั้น ศีลเช่นนั้นแม้ของเราก็มีอยู่ เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยสุตะเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้ว อุบัติในเทวดาชั้นนั้น สุตะเช่นนั้น แม้ของเราก็มีอยู่ เทวดาเหล่านั้น ประกอบด้วยจาคะเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้ว อุบัติในเทวดาชั้นนั้น จาคะ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 532
เช่นนั้น แม้ของเราก็มีอยู่ เทวดาเหล่านั้น ประกอบด้วยปัญญาเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้ว อุบัติในเทวดาชั้นนั้น ปัญญาเช่นนั้น แม้ของเราก็มีอยู่ ดูก่อนมหานามะ สมัยใด อริยสาวก ย่อมระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาของตน และของเทวดาเหล่านั้นเนืองๆ สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ย่อมไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ย่อมไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม ย่อมเป็นจิตดำเนินไปตรงทีเดียว ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรง เพราะปรารภเทวดา ย่อมได้ความรู้อรรถ ย่อมได้ความรู้ธรรม ย่อมได้ความปราโมทย์ อันประกอบด้วยธรรม เมื่อได้ความปราโมทย์แล้ว ย่อมเกิดปีติ เมื่อมีใจประกอบด้วยปีติ กายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบแล้ว ย่อมเสวยสุข เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น ดูก่อนมหานามะ นี้อาตมภาพกล่าวว่า อริยสาวกเป็นผู้ถึงความสงบเรียบร้อยอยู่ ในเมื่อหมู่สัตว์ไม่สงบเรียบร้อย เป็นผู้ไม่มีความพยาบาทอยู่ ในเมื่อหมู่ สัตว์ ยังมีความพยาบาทกันอยู่ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกระแสธรรม ย่อมเจริญเทวตานุสสติ ดูก่อนมหานามะ อริยสาวกผู้ได้บรรลุผล ทราบชัดพระศาสนาแล้ว ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้เป็นส่วนมาก.
จบมหานามสูตรที่ ๑๐
จบอาหุเนยยวรรคที่ ๑
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 533
อรรถกถามหานามสูตร
พึงทราบวินิจฉัย ในมหานามสูตรที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า มหานาโม ได้แก่ เจ้าศากยะองค์หนึ่ง ผู้เป็นพระราชโอรส แห่งพระเจ้าอาของพระทศพล. บทว่า เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ ความว่า ท้าวเธอเสวยพระกระยาหารเช้าแล้ว ห้อมล้อมไปด้วยทาส และบริวารชน ให้คนถือเอาของหอม และระเบียบ เป็นต้น แล้วได้เสด็จไป ในที่ที่พระบรมศาสดา ประทับอยู่. (พระอริยสาวก) ชื่อว่า อาคตผโล เพราะมีอริยผลมาถึงแล้ว. ชื่อว่า วิญฺาตสาสโน เพราะมีคำสอนคือสิกขา ๓ อันท่านรู้แจ้งแล้ว. พระราชา (เจ้าศากยะพระนามว่า มหานาม) นี้ เมื่อจะทูลถามว่า ข้าพระองค์ทูลถามถึงวิหารธรรม อันเป็นที่อาศัยของพระโสดาบัน ดังนี้ จึงกราบทูลอย่างนี้.
บทว่า เนวสฺส ราคปริยุฏฺิตํ ความว่า (จิตของพระอริยสาวกนั้น) ไม่ถูกราคะที่เกิดขึ้น รุมรึงไว้. บทว่า อุชุคตํ ความว่า (จิตของพระอริยสาวกนั้น) ดำเนินตรงไป ในพุทธานุสสติกัมมัฏฐาน. บทว่า ตถาคตํ อารพฺภ ได้แก่ ปรารภพระคุณของพระตถาคตเจ้า.
บทว่า อตฺถเวทํ ได้แก่ ปีติ และปราโมทย์ที่เกิดขึ้น อาศัยอรรถกถา. บทว่า ธมฺมเวทํ ได้แก่ ปีติ และปราโมทย์ที่เกิดขึ้น อาศัยบาลี. บทว่า ธมฺมูปสญฺหิตํ ได้แก่ ปีติและปราโมทย์ ที่เกิดขึ้น อาศัยทั้งพระบาลี และอรรถกถา. บทว่า ปมุทิตสฺส ความว่า แก่ผู้ที่ปราโมทย์แล้ว ด้วยความปราโมทย์ ๒ อย่าง. บทว่า ปีติ ชายติ ความว่า ปีติ ๕ อย่าง ย่อมบังเกิด. บทว่า กาโย ปสฺสมฺภติ ความว่า ทั้งนามกาย ทั้งกรชกาย ย่อม สงบระงับ ด้วยธรรมเป็นเครื่องสงบระงับ ซึ่งความกระวนกระวาย. บทว่า
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 534
สมาธิยติ ความว่า ย่อมตั้งมั่นโดยชอบในอารมณ์. บทว่า วิสมคตาย ปชาย ความว่า ในสัตว์ทั้งหลาย ผู้ถึงความไม่สงบ เพราะราคะ โทสะ และโมหะ. บทว่า สมปฺปตฺโต ความว่า เป็นผู้ถึงความสงบสม่ำเสมอ. บทว่า สพฺยาปชฺฌาย แปลว่า ผู้มีทุกข์ร้อน. บทว่า ธมฺมโสตํ สมาปนฺโน ความว่า เป็นผู้ถึงกระแสธรรม กล่าวคือ วิปัสสนา.
บทว่า พุทฺธานุสฺสตึ ภาเวติ ความว่า ย่อมเพิ่มพูน คือเจริญพุทธานุสสติกัมมัฏฐาน. ในบททั้งปวง พึงทราบความโดยนัยนี้. เจ้าศากยมหานามะ ทูลถามถึง วิหารธรรม เป็นที่อาศัยของพระโสดาบัน ด้วยประการดังพรรณนามา ฉะนี้. แม้พระบรมศาสดา ก็ตรัสวิหารธรรม เป็นที่อาศัยของพระโสดาบัน นั่นแหละ แก่ท้าวเธอด้วยประการฉะนี้. ในพระสูตรนี้ จึงเป็นอันตรัสถึงพระโสดาบันอย่างเดียว เท่านั้น ฉะนี้แล.
จบอรรถกถา มหานามสูตรที่ ๑๐
จบอาหุเนยยวรรควรรณนาที่ ๑
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. ปฐมอาหุเนยยสูตร ๒. ทุติยอาหุเนยยสูตร ๓. อินทริยสูตร ๔. พลสูตร ๕. ปฐมอาชานิยสูตร ๖. ทุติยอาชานิยสูตร ๗. ตติยอาชานิยสูตร ๘. อนุตตริยสูตร ๙. อนุสสติสูตร ๑๐. มหานามสูตร และอรรถกถา.