ถูกตัดไฟ เนื่องจากค้างค่าไฟอยู่ ๖ สตางค์ เพราะความเข้าใจผิดเองคือ ปกติจะจ่ายค่าไฟเกินอยู่แล้ว คิดว่าทางการไฟฟ้าน่าจะนำไปหักออก แต่ปรากฎว่านำไปหักของเดือนที่จะจ่ายต่อไป ทำให้เราค้างค่าไฟอีก จึงถูกตัดไฟทำให้เราเดือดร้อน กรณีนี้แสดงว่าผู้ที่สั่งให้คนไปตัดไฟนั้น ผิดธรรมข้อใด เพราะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน โดยไม่ได้พิจารณาตามความเหมาะสม
มองในแง่หนึ่งก็คือ ขาดเมตตา เพราะจำนวนเงินเพียงแค่ ๖ สตางค์นั้น แทบจะไม่มีค่าอะไรเลย แต่ถ้ามองอีกแง่หนึ่ง ก็เป็นผู้ที่ตรงต่อหน้าที่ ผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก ไม่มีข้อยกเว้น เพราะผู้ใช้ไฟฟ้ามีเป็นล้านหลังคาเรือน จึงเป็นความรับผิดชอบของทุกท่าน ถือว่าเป็นบทเรียนแล้วกันนะคะ ต่อไปจะได้ไม่ประมาท
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
การศึกษาธรรมก็ต้องเริ่มจากการขัดเกลากิเลสของตนเองเป็นสำคัญ ถ้าเราไปคิดถึงคนอื่นว่าทำไมเขาทำอย่างนั้น ทำไมเขาทำอย่างนี้ อกุศลก็จะเกิดกับเราได้ง่าย ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งสิ้นเพราะเป็นธรรม การที่เราถูกตัดไฟ ไม่ได้รับความสะดวก เราอาจจะโทษคนอื่น ว่า ... แต่ความจริงแล้วเมื่อมองตามความเป็นจริง ทุกอย่างต้องมีเหตุคือ การทำกุศลหรือ อกุศลของเรานั่นเอง ดังนั้น การคิดพิจารณาที่ถูกคือ เข้าใจตามความเป็นจริง ว่าไม่มีใครทำให้แต่เป็นธรรมต่างหาก ถึงแม้การคิดอย่างนี้จะเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อมีการอบรมการฟังธรรม แม้ขั้นการฟังจนเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรม เมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร จิตก็ย่อมน้อมไปในความเข้าใจในเรื่องที่ว่าทุกอย่างเป็นธรรมครับ อบรมได้ครับ ด้วยการฟังธรรมในเรื่อง สภาพธัมมะที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรม เมื่อนั้นเราก็จะไม่โทษคนอื่น และก็ไม่โทษตัวเองด้วย มีแต่ธรรมเท่านั้น แล้วจะโทษใคร จิตก็เปลี่ยนจากอกุศลเป็นกุศลได้ครับ (ทุกอย่างอบรมได้ทีละเล็กทีละน้อย) จะยกข้อความในพระไตรปิฎก ลองอ่านดูนะ
เรื่อง จะโทษใครดี?
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ 50
ข้อความบางตอนจาก เรื่องพระติสสเถระผู้เข้าถึงสกุลนายช่างแก้ว
ได้ยินว่า พระเถระนั้นฉัน (ภัต) อยู่ในสกุลของนายมณีการผู้หนึ่งสิ้น ๑๒ ปี. ภรรยาและสามีในสกุลนั้นตั้งอยู่ในฐานะเพียงมารดาและบิดาปฏิบัติพระเถระแล้ว.อยู่มาวันหนึ่ง นายมณีการกำลังนั่งหั่นเนื้อข้างหน้าพระเถระ. ในขณะนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงส่งแก้วมณีดวงหนึ่งไป ด้วยรับสั่งว่า "นายช่างจงจัดและเจียระไนแก้วมณีนี้แล้วส่งมา. " นายมณีการรับแก้วนั้นด้วยมือทั้งเปื้อนโลหิต วางไว้บนเขียงแล้ว ก็เข้าไปข้างในเพื่อล้างมือ.
แก้วมณีหายนายช่างสืบหาคนเอาไป ก็ในเรือนนั้น นกกะเรียนที่เขาเลี้ยงไว้มีอยู่. นกนั้นกลืนกินแก้วมณีนั้น ด้วยสำคัญว่าเนื้อ เพราะกลิ่นโลหิต เมื่อพระเถระกำลังเห็นอยู่เทียว. นายมณีการมาแล้ว เมื่อไม่เห็นแก้วมณีจึงถามภริยา ธิดาและบุตรโดยลำดับว่า " พวกเจ้าเอาแก้วมณีไปหรือ? " เมื่อชนเหล่านั้นกล่าวว่า " มิได้เอาไป " จึงคิดว่า " (ชะรอย) พระเถระจักเอาไป จึงปรึกษากับภริยาว่า " แก้วมณี (ชะรอย) พระเถระจักเอาไป " ภริยาบอกว่า " แน่ะนาย นายอย่ากล่าวอย่างนั้น. ดิฉันไม่เคยเห็นโทษอะไรๆ ของพระเถระเลยตลอดกาลประมาณเท่านี้. ท่านย่อมไม่ถือเอาแก้วมณี (แน่นอน) ."นายมณีการถามพระเถระว่า " ท่านขอรับ ท่านเอาแก้วมณีในที่นี้ไปหรือ? " พระเถระ. เราไม่ได้ถือเอาดอก อุบาสก.
นายมณีการ. ท่านขอรับ ในที่นี้ไม่มีคนอื่น. ท่านต้องเอาไปเป็นแน่, ขอท่านจงให้แก้วมณีแก่ผมเถิด. เมื่อพระเถระนั้นไม่รับ, เขาจึงพูดกะภริยาว่า " พระเถระเอาแก้วมณีไปแน่, เราจักบีบคั้นถามท่าน. " ภริยาตอบว่า " แน่ะนาย นายอย่าให้พวกเราฉิบหายเลย, พวกเราเข้าถึงความเป็นทาสเสียยังประเสริฐกว่า, ก็การกล่าวหาพระเถระผู้เห็นปานนี้ไม่ประเสริฐเลย. "
ช่างแก้วทำโทษพระติสสเถระเพราะเข้าใจผิด
นายช่างแก้วนั้นกล่าวว่า " พวกเราทั้งหมดด้วยกัน เข้าถึงความเป็นทาส ยังไม่เท่าค่าแก้วมณี " ดังนี้แล้ว จึงถือเอาเชือกพันศีรษะพระเถระขันด้วยท่อนไม้. โลหิตไหลออกจากศีรษะหูและจมูกของพระเถระ. หน่วยตาทั้งสองได้ถึงอาการทะเล้นออก, ท่านเจ็บปวดมาก ก็ล้มลง ณ ภาคพื้น. นกกะเรียนมาด้วยกลิ่นโลหิต ดื่มกินโลหิต.
ช่างแก้วเตะนกกะเรียนตายแล้วจึงทราบความจริง
ขณะนั้น นายมณีการจึงเตะมันด้วยเท้าแล้วเขี่ยไปพลางกล่าวว่า " มึงจะทำอะไรหรือ? " ด้วยกำลังความโกรธที่เกิดขึ้นในพระเถระ. นกกะเรียนนั้นล้มกลิ้งตายด้วยการเตะทีเดียวเท่านั้น. พระเถระเห็นนกนั้น จึงกล่าวว่า " อุบาสก ท่านจงผ่อนเชือกพันศีรษะของเราให้หย่อนก่อนแล้ว จงพิจารณาดูนกกะเรียนนี้ (ว่า) มันตายแล้วหรือยัง?" ลำดับนั้น นายช่างแก้วจึงกล่าวกะท่านว่า "แม้ท่านก็จักตายเช่นนกนั่น."
พระเถระตอบว่า "อุบาสก แก้วมณีนั้น อันนกนี้กลืนกินแล้ว. หากนกนี้จักไม่ตายไซร้, ข้าพเจ้าแม้จะตาย ก็จักไม่บอกแก้วมณีแก่ท่าน."
ช่างแก้วได้แก้วมณีคืนแล้วขอขมาพระติสสเถระ
เขาแหวะท้องนกนั้นพบแก้วมณีแล้ว งกงันอยู่ มีใจสลด หมอบลงใกล้เท้าของพระเถระ กล่าวว่า " ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอดโทษแก่ผม, ผมไม่รู้อยู่ ทำไปแล้ว." พระเถระ. อุบาสก โทษของท่านไม่มี. ของเราก็ไม่มี มีแต่โทษของวัฏฏะเท่านั้น. เราอดโทษแก่ท่าน.
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขออนุโมทนา อ่านแล้วเกิดปีติจริงๆ ครับ
ทุกอย่างเป็นเรื่องของกรรม แม้แต่การเห็นขณะนี้ ได้ยินขณะนี้ ถ้าได้รับสิ่งที่ดีๆ ก็เป็นผลของกุศลวิบาก แต่ถ้าได้รับสิ่งที่ไม่ดีก็เป็นอกุศลวิบาก ทำให้เราไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกอย่าง ที่สำคัญไม่ประมาทการฟังธรรมค่ะ เพราะถ้าเรารู้ทุกขณะเป็นผลของกรรม เราจะไม่โทษใครเลย เป็นโทษของวัฏฏะค่ะ
อนุโมทนาค่ะ อ่านแล้วรู้สึกดีมากนะค่ะแต่สะเทือนใจ อยากร้องไห้ค่ะ
ขอบคุณค่ะ ยอมรับความผิดในข้อนี้อยู่แล้ว แต่เขียนมาเพื่อเป็นข้อเตือนใจผู้ใช้ไฟทั้งหลาย อย่าประมาทเรื่องค่าไฟ ระบบการเคลียร์หนี้ เขาไม่หักหนี้ค้างเก่าให้ แต่หักหนี้ล่วงหน้าให้ ผลเลยลงเอย ถูกตัดไฟ
... กรรม ช่างน่ากลัวจริงๆ
ขออนุโมทนาครับ
ยินดีในกุศลจิตค่ะ