ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๒๒
~ ผู้มีปัญญาควรโกรธ หรือไม่ควรโกรธ? เวลาที่ความโกรธเกิดขึ้น ขณะนั้นควรที่จะระลึกได้ว่า ขณะนั้นไม่อดทนเลยจึงโกรธ เพราะฉะนั้นถ้าใคร่ที่จะบำเพ็ญขันติบารมี ก็ควรที่จะมีสติระลึกได้ในทุกสถานการณ์
~ บุคคลใดก็ตามที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ย่อมต้องอาศัยพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้แล้วอย่างดี โดยละเอียด ด้วยความรอบคอบ จึงจะสามารถเข้าใจธรรมได้
~ ทุกท่านควรพิจารณาจิตใจของตนเองว่า เรียนธรรม เพื่ออะไร ถ้าเรียนเพื่อจะเก่ง นั่นไม่ถูก แต่เรียนเพื่อที่จะขัดเกลากิเลสของตนเอง เรียนเพื่อที่จะละ แม้แต่การที่จะใช้คำว่า ปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อลาภ เพื่อยศ เพื่อการสรรเสริญ เพื่อสักการะ แต่เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อละคลายกิเลส
~ วินัยของคฤหัสถ์ มี คือ ศีล ๕ แต่ต้องหมายความว่าคฤหัสถ์นั้นเป็นผู้มีศรัทธา ด้วยความตั้งใจของตนเองที่จะสมาทานรักษาศีล ๕ นั้น ไม่ใช่ว่ามีการบังคับ เพราะฉะนั้นเมื่อบุคคลนั้นมีเจตนาที่จะปฏิบัติและศึกษาธรรมในเพศของบรรพชิต ก็ย่อมจะต้องมีพระวินัยบัญญัติในการประพฤติปฏิบัติต่างจากคฤหัสถ์
~ ไม่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงธรรมโดยนัยใด ก็เพื่อเข้าใจความเป็นอภิธรรม (ธรรมที่ละเอียด ลึกซึ้ง ปฏิเสธความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน) บางคนฟังไม่เข้าใจถึงกับปฏิเสธอภิธรรมก็มี เพราะไม่รู้ว่าอภิธรรมคืออะไร อภิธรรม ไม่พ้นจากขณะนี้เลย มีจริงๆ ทุกขณะ
~ ผู้ที่เห็นคุณของพระรัตนตรัย มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ (ที่พึ่ง) ย่อมไม่ขาดการฟังพระธรรม ซึ่งเป็นปริยัติธรรม มิฉะนั้นแล้ว ชีวิตวันหนึ่งๆ ก็อยู่ไปๆ โดยไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง
~ เรื่องของบารมีเป็นเรื่องที่จบเมื่อสมบูรณ์ แต่ว่าก่อนที่จะถึงความสมบูรณ์ ก่อนที่จะจบลงได้ ก็จะต้องอบรมไป และก็อดทนไปแต่ละชาติ ซึ่งก็เป็นจิรกาลภาวนา เพราะเหตุว่าต้องอาศัยกาลเวลาในการอบรมเจริญปัญญา เพื่อที่จะขัดเกลากิเลส เมื่อเห็นกิเลสมากเท่าใด ก็รู้ว่า จะต้องอาศัยกาลเวลานานมากทีเดียว กว่าที่จะขัดเกลากิเลสนั้นๆ ได้ โดยที่ไม่ขาดการฟังพระธรรม และก็ไม่ขาดการที่จะพิจารณาตนเอง เพราะเหตุว่าพระธรรมที่ได้ฟังทั้งหมด เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญา และการขัดเกลากิเลสทั้งสิ้น
~ ในขณะที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นชื่อว่า อดทน, เวลาที่ร้อนมาก ก็เกิดหงุดหงิด ไม่สบาย ขณะนั้นไม่ชื่อว่า ขันติ เพราะเหตุว่าอกุศลจิตเกิด แต่ถ้าสามารถที่จะมีกุศลจิตเกิดขณะใด ก็ชื่อว่า มีความอดทนต่ออารมณ์ที่ไม่น่าพอใจทั้งหลาย แต่ไม่เพียงเท่านั้น จะต้องอดทนต่ออารมณ์ที่น่าพอใจทั้งหลายด้วย เพราะฉะนั้น เวลาที่เห็นอารมณ์ที่น่าพอใจ แล้วหวั่นไหวไปแล้ว ขณะนั้นก็เป็นอกุศล เพราะฉะนั้น ไม่ชื่อว่า ขันติ เพราะอดทนต่ออารมณ์ที่น่าพอใจไม่ได้ เพราะฉะนั้น การอดทนจะต้องอดทนเพิ่มขึ้นๆ ทั้งอดทนกับอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจได้แล้ว ยังต้องอดทนต่ออารมณ์ที่น่าพอใจด้วย
~ ถ้าไม่เคยสะสมความสนใจมาเลยในอดีต ก็ไม่มีหนทาง ไม่มีปัจจัยที่จะไปเรียกร้อง แม้ว่าพระธรรมเป็นสิ่งที่ควรเชิญให้มาดู เพราะเหตุว่าเป็นของจริงทุกประการ แต่บุคคลเหล่านั้นก็ไม่ได้สนใจ เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ตามความเป็นจริงว่าแต่ละคนสะสมอัธยาศัยทั้งฝ่ายกุศล หรือฝ่ายอกุศลมามากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะต้องควรอบรมเจริญขึ้นทางฝ่ายกุศล ทำดีเท่าไรไม่มีวันพอ ควรจะเป็นคติประจำใจจริงๆ เพราะว่าอกุศลนั้นมากมายเหลือเกินที่จะต้องละ
~ เป็นเรื่องที่ต้องอบรมเจริญความรู้ อย่าลืมว่า ปัญญา คือ ศาสตรา นอกจากความรู้แล้ว อย่างอื่นจะไปดูอะไรอย่างไรสักเท่าไร ซึ่งปัญญาไม่เกิด ก็ไม่สามารถที่จะละคลายกิเลสได้
~ ความเสียหายที่ผู้อื่นนำไปให้แก่ผู้ปราศจากปัญญา ย่อมเพิ่มพูนความเป็นปฏิปักษ์ (ความตรงกันข้าม) ของความอดทน แต่ความเสียหายเหล่านั้นของผู้มีปัญญา ย่อมเป็นไปเพื่อความมั่นคงแห่งขันตินั้น ด้วยเพิ่มพูนความสมบูรณ์แก่ขันติ
~ เวลาที่กระทบสิ่งที่ไม่พอใจแล้วก็หงุดหงิด ขณะนั้นให้ทราบได้ว่า จะต้องเป็นอุปนิสัยที่จะสะสม ทำให้มีความขุ่นใจ ไม่พอใจอยู่บ่อยๆ เนืองๆ มากกว่าคนที่อดทน เพราะฉะนั้นจึงย่อมเป็นผู้ที่มากด้วยโทษ เพราะเหตุว่าเมื่อเป็นอกุศลของตนเอง ตนเองก็ต้องเป็นผู้ได้รับโทษจากอกุศลของตน ซึ่งคนอื่นจะทำโทษให้กับบุคคลนั้นไม่ได้เลย นอกจากกิเลสของตนเอง
~ ทุกคนจะต้องจากโลกนี้ไป แต่จะไปสู่ที่ไหน ถ้าใกล้จะจุติ จิตเศร้าหมอง ขณะนั้นก็ไม่มีใครสามารถที่จะช่วยได้จริงๆ เมื่อจิตใกล้จะจุติเป็นจิตที่เศร้าหมอง ก็เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ซึ่งเป็นโทษเป็นภัยน่ากลัวมากกว่าโลกนี้มากมายเหลือเกิน
~ คนที่อยู่ในโลกนี้ ขณะนี้เข้าใจว่ามีปัญหามาก ปัญหาในเรื่องของความเป็นอยู่ ปัญหาในเรื่องของเศรษฐกิจ ความทุกข์ยาก ปัญหาเรื่องความเจ็บไข้ได้ป่วยของร่างกาย ปัญหาชีวิตในครอบครัว เข้าใจว่ามีปัญหามากแล้ว แต่ให้ทราบว่า ถ้าเกิดในอบายจะต้องได้รับภัย ความเจ็บความปวด ความทรมานมากกว่าโลกนี้มากทีเดียว
~ ไม่ว่าใครจะมีความประพฤติอย่างไรต่อท่าน หรือแม้แต่เพียงการที่จะนึกถึงคำพูดหรือการกระทำของคนอื่น ซึ่งเคยได้ยินได้ฟังแม้นานมาแล้ว เป็นการที่จะทดสอบได้ว่า แม้ในขณะนั้นจิตที่คิดเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ถ้าเป็นอกุศลยังโกรธ ขณะนั้นเป็นผู้ที่ไม่ได้เจริญขันติ (ความอดทน)
~ เรื่องของอกุศลทั้งหลายเป็นเรื่องของคนพาล ไม่ใช่เป็นของบัณฑิต เพราะฉะนั้น คนพาลจะไกลตัวหรือว่าจะใกล้ตัว เพราะเหตุว่าบางท่านคิดถึงลักษณะของพาลว่า เป็นลักษณะของผู้อื่น แต่ว่าถ้ารู้ว่า พาล คือ อกุศลจิต จะทำให้รังเกียจอกุศลเพิ่มขึ้น ไม่ปรารถนาที่จะให้ตนเองเป็นคนพาล หรือว่ามีอกุศลมากๆ อย่างนั้น
~ ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก ไม่มีทางที่จะเห็นผิดได้เลย
~ จะเข้าใจธรรม ก็คือ เข้าใจขณะนี้
~ ไม่มีตัวตนที่น้อมประพฤติตามธรรม แต่ปัญญาเป็นสภาพที่น้อมไป
~ มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ก็ฟังไป แต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ควรค่าแก่การฟังเป็นอย่างยิ่ง และการที่จะฟังพระธรรมแล้วเข้าใจ ก็ยาก บางคนได้ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ บางคนได้ฟังแล้วก็ไม่ฟังอีก ก็มีหลากหลายตามการสะสม
~ อดทนกับไม่อดทน อะไรยาก? ไม่อดทนเร็วมาก ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ กว่าจะรู้ว่าไม่ดี, ไม่ดีแล้ว ยังต้องอดทนที่จะไม่ล่วงกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
~ อกุศลเกิดเมื่อไหร่ ไม่อดทน
~ อดทนที่จะรู้ว่า ความไม่เข้าใจธรรม กว่าจะเข้าใจได้ ก็ต้องอดทนอย่างมากทีเดียว
~ ใครก็ตามที่ไม่อดทน ไม่สามารถประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้เลย.
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๒๑
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
"...ทุกท่านควรพิจารณาจิตใจของตนเองว่า เรียนธรรม เพื่ออะไร ถ้าเรียนเพื่อจะเก่ง นั่นไม่ถูก แต่เรียนเพื่อที่จะขัดเกลากิเลสของตนเอง เรียนเพื่อที่จะละ แม้แต่การที่จะใช้คำว่า ปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อลาภ เพื่อยศ เพื่อการสรรเสริญ เพื่อสักการะ แต่เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อละคลายกิเลส..."
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อัษรวิลัย เป็นอย่างยิ่งครับ
การศึกษาธรรม คือ ศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังมี กำลังปรากฏ ในขณะนี้ ตามที่ทรงมีพระมหากรุณาแสดงและท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มีเมตตานำมาสนทนาให้พวกเราได้เข้าใจได้ ตามกำลังความเข้าใจของแต่ละบุคคล ซึ่งก็ต่างกันไปตามการสะสม
เราฟังและศึกษาธรรม ตามกำลังของความเข้าใจของเราเองในแต่ละบุคคล เมื่อเข้าใจ ก็รู้ด้วยตนเองว่าเข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจ ก็ฟังอีก และฟังอีก บ่อยๆ เนืองๆ สะสมไป
การศึกษาพระธรรมในหนทางที่ถูก จึงมิใช่การเรียนหรือศึกษาเพื่อที่จะไปแข่งกับใคร หรือผู้ใด หรือเพื่อมีความสำคัญตน ว่าเก่งกว่า รู้มากกว่าผู้อื่น หรือแม้แต่ คิดว่าตนยังรู้น้อยกว่า ยังสู้ผู้อื่นไม่ได้ นั่นก็ล้วนแต่เป็นการศึกษาในหนทางที่ผิด และ หลงทาง
เมื่อเริ่มเข้าใจพระธรรมในหนทางที่ถูก ย่อมรู้ว่า ทุกคนมีการสะสมมาต่างๆ กัน ประการที่สำคัญที่สุด ย่อมรู้ถึงอัธยาศัยที่สะสมมาของตนเอง และเป็นผู้น้อมไปเพื่อการอบรมเจริญปัญญาของตน โดยการฟังและพิจารณา เพื่อความเข้าใจของตนเองเป็นประการสำคัญ
ผู้ศึกษาและเข้าใจธรรมในหนทางที่ถูกต้องดังได้กล่าวแล้ว จึงเป็นผู้ที่อาจหาญ ร่าเริง เข้าใจก็เข้าใจ ไม่เข้าใจ ก็ฟังอีกและฟังอีก อาจหาญ ร่าเริง เพราะรู้และเข้าใจว่า แม้ความเข้าใจ หรือ ไม่เข้าใจ จะเข้าใจมาก จะเข้าใจน้อย ก็ล้วนแต่เป็นธรรมทั้งสิ้น หาใช่เรา ใช่ตัว ใช่ตน ใช่สัตว์ ใช่บุคลลใดไม่ และรู้ว่า แม้ความเข้าใจที่ถูกต้องนี้ จะเป็นเพียงปัญญาขั้นฟังและพิจารณา ก็ยังทำให้บุคคล อาจหาญ ร่าเริง ถึงเพียงนี้ หากถึงขั้นที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้โดยประจักษ์แจ้ง จะอาจหาญ ร่าเริง สักเพียงไหน?
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณยิ่งค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่นด้วยค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณ และอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบขอบพระคุณอ.คำปั่น และอนุโมทนาในจิตอันเป็นกุศลค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ทุกท่านควรพิจารณาจิตใจของตนเองว่า เรียนธรรม เพื่ออะไร ถ้าเรียนเพื่อจะเก่ง นั่นไม่ถูก แต่เรียนเพื่อที่จะขัดเกลากิเลสของตนเอง เรียนเพื่อที่จะละ แม้แต่การที่จะใช้คำว่า ปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อลาภ เพื่อยศ เพื่อการสรรเสริญ เพื่อสักการะ แต่เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อละคลายกิเลส น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
แจ้งยิ่ง กราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ