Thai-Hindi 25 February 2023
- (คราวที่แล้วคุยเรื่องปฏิสนธิที่เป็นผลของกรรมที่มีปัญญาและไม่มีปัญญา อยากจะฟังเรื่องนี้อีก)
- ก่อนที่จะได้ฟังธรรม คุณอาช่าเข้าใจธรรมไหม? (ก่อนฟังรู้ความต่างของกุศลอกุศล รู้ว่าทำทานเป็นกุศล เมตตาเป็นกุศลแต่ยังเป็นตัวตน เป็นเราที่ทำทาน เป็นคนดี)
- เพราะฉะนั้นการเกิดเป็นมนุษย์ ทุกคนรู้ว่า อะไรดีอะไรไม่ดีใช่ไหม? เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืม การเกิดเป็นมนุษย์เป็นผลของกุศล เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดเป็นกุศลวิบากประกอบด้วยโสภณเจตสิก
- ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ขณะที่ทำอกุศลขณะนั้นเป็นสภาพที่ไม่ดีงามเมื่อเป็นปัจจัยให้ทำอกุศลกรรมเกิดผลคือ “เกิด” แต่ไม่มีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย
- เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิตของสุนัข ของแมว ของนก ของคนที่เกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย หรือว่าในนรกไม่มีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นเราจะกล่าวเฉพาะการเกิดในภูมิที่ดีซึ่งเป็นผลของกุศลกรรม
- ทุกคนสามารถจะรู้ได้ว่าอะไรดีอะไรชั่วเพราะมีโสภณเจตสิกเกิดกับปฏิสนธิจิตด้วยแต่บางคนไม่ได้สนใจที่จะฟังธรรมเลย
- เพราะฉะนั้นแต่ละคนสะสมทุกอย่างแม้แต่ความคิดมาทำให้มีความหลากหลายในเรื่องการเชื่อผิดๆ ถูกๆ เป็นลัทธิต่างๆ
- ก่อนฟังธรรมคุณอาช่าคิดอะไร เชื่อว่าอย่างไร (เชื่อว่ามีเรา มีอัตตา เวลาทำไม่ดีพระเจ้าลงโทษหรือพระเจ้าจะให้ผลที่ดีถ้าทำดี) คนที่เชื่ออย่างนี้มีมากมายใช่ไหม (เป็นทุกคน แต่หลังจากนั้นได้ฟังแล้วก็ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าแต่ยังเชื่อว่ามีตัวตน)
- แต่คนที่ฟังคนนั้นพูดแล้วเชื่อว่ามีพระเจ้าก็มีเยอะใช่ไหม (มีทั้งคนที่เรียกตนเองว่าเป็นชาวพุทธก็เชื่อว่ามีพระเจ้าและที่ได้มาฟังธรรมเพราะพระเจ้าให้โอกาส) เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่าแต่ละ ๑ หลากหลายมากใช่ไหม (เป็นอย่างนั้น)
- เพราะฉะนั้นแสดงว่า ความคิดมีหลากหลายมากใช่ไหม คนที่คิดไม่เป็นเหตุผล เช่น ยังคิดว่า มีพระเจ้าแต่ไม่รู้พระเจ้าอยู่ไหนแต่ยังเชื่อว่ามีพระเจ้า ขณะนั้นไม่ได้มีปัญญาเจตสิกเกิดกับจิตแม้ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์เป็นผลของกุศล (แสดงว่า ปฏิสนธิแม้เป็นมนุษย์ก็ไม่มีปัญญาเกิดกับปฏิสนธิจิต)
- เพราะฉะนั้นกรรมใดๆ ที่คุณอาช่า คุณอาคิ่ลทำก่อนที่จะได้เข้าใจธรรม กรรมเหล่านั้นไม่ใช่กรรมที่เกิดเพราะความเข้าใจถูกต้องใช่ไหม
- เมื่อได้ฟังธรรมเข้าใจแล้ว ขณะที่กระทำกรรมใดๆ บางครั้งก็เกิดความเข้าใจในขณะนั้น บางครั้งก็ทำไปโดยไม่มีความเข้าใจขณะนั้นก็ได้ใช่ไหม? เช่น ขณะที่ช่วยเหลือคนอื่น ทำดีกับคนอื่น ดูแลคุณพ่อคุณแม่ขณะนั้นเป็นกุศลต่างกับขณะที่ฟังธรรมแล้วเข้าใจขึ้นซึ่งเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาใช่ไหม? (ต่างกันมาก)
- เพราะฉะนั้นเวลาที่กรรมที่ทำดีดูแลคุณพ่อคุณแม่ให้ผล ขณะนั้นก็เป็นกรรมที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดไม่พร้อมกับปัญญาที่ได้สะสมมาจึงทำให้เป็นบุคคลที่ขณะนั้นปฏิสนธิด้วยจิตที่เป็นกุศลแต่ไม่ประกอบด้วยปัญญา
- เมื่อมีความเข้าใจถูกต้องว่าไม่มีเราแต่มีจิต มีเจตสิก มีรูป มีกุศลและอกุศล ขณะที่กำลังดูแลคุณพ่อคุณแม่ก็มีความเข้าใจถูกต้องว่า เป็นกรรมของคุณพ่อคุณแม่ที่ขณะนั้นเป็นผลของกรรม ขณะนั้นก็เป็นกุศลในการช่วยดูแลคุณพ่อคุณแม่ที่ประกอบด้วยปัญญาได้
- เพราะฉะนั้นความเข้าใจธรรมสะสมอยู่ในจิตทุกขณะที่เข้าใจ ไม่สูญหายเลยทุกครั้งที่เข้าใจความเข้าใจนั้นก็สะสมอยู่ในจิตต่อๆ ไป
- อกุศลที่ทำมาแล้วในสังสารวัฏฏ์มาก ไม่รู้ว่าจะให้ผลเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นรู้ได้ว่า ขณะไหนในชีวิตที่เป็นผลของอกุศลกรรมที่ได้ทำมาแล้วให้ผลแต่ไม่รู้ว่าจากกรรมไหนชาติไหน
- ทุกคนรู้จักม้ากัณฐกะ เกิดเป็นม้ากัณฐกะเพราะผลของกรรมอะไร (ผลของอกุศล) ตายแล้วเกิดเป็นเทวดาเป็นผลของกรรมอะไร (ผลของกุศล) มาเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นพระโสดาบันเป็นผลของกรรมอะไร (เป็นผลของกุศลที่เกิดกับปัญญา) เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิตหลังจากที่เป็นม้ากัณฐกะและเกิดบนเทวโลกก็เป็นเทพที่มีปัญญาเจตสิกเกิด พร้อมที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเมื่อได้มาเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ถ้าไม่ได้มีการสะสมความเข้าใจเป็นกุศลที่ประกอบด้วยความเข้าใจ ปฏิสนธิจะเกิดพร้อมกับปัญญาได้ไหม?
- เพราะฉะนั้นความเข้าใจมีมากมายมหาศาลกว่าที่จะรู้ความจริงเป็นพระโสดาบัน
- เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่เป็นพระโสดาบันก็ไม่รู้ว่า จะเกิดไปอีกนานเท่าไหร่ และเกิดในอบายภูมิก็เป็นได้เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการเข้าใจความจริง ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงขณะนี้ซึ่งจะทำให้ดับกิเลสได้
- เพราะฉะนั้นการฟังธรรมไม่ได้ฟังเพื่อที่จะ “เข้าใจคำมากมาย” แต่เป็นการที่คำที่ได้ฟังทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
- “เห็นเดี๋ยวนี้” ไม่ได้ฟังธรรมเพื่อที่จะเข้าใจเรื่องราวแต่ให้รู้ว่า เห็นเกิดขึ้นแล้วเห็นก็ดับ เดี๋ยวนี้อยู่ไหน เห็นอยู่ไหน
- เห็นเกิดขึ้นแล้วเห็นก็ดับไป ไม่ใช่คุณอาคิ่ล ไม่ใช่คุณอาช่า ไม่ใช่ใครเลยจริงไหม? ถ้าไม่รู้ความจริงนี้จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
- ถ้าไม่เข้าใจว่าทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อให้เกิดความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ก็ไม่สามารถที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและคุณของพระองค์ได้
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ ของสิ่งที่กำลังปรากฏไม่ว่าที่ไหนเมื่อไหร่
- ฟังเพื่อเข้าใจให้ถูกต้อง ขณะนี้มีสิ่งที่เกิดแล้วจึงปรากฏว่า “มี” ทุกอย่างมีเมื่อเกิดขึ้นแม้ความคิดเดี๋ยวนี้ก็ต้องเกิดจึงมีคิดเดี๋ยวนี้
- เริ่มเข้าใจรึยัง ฟังเข้าใจเป็นผลของกรรมที่เป็นกุศลและถ้ากรรมนี้ให้ผลก็จะเกิดพร้อมปัญญาเจตสิกเป็นผลที่เกิดพร้อมปัญญาเจตสิก
- ถ้าฟังธรรมแล้วเข้าใจผิดแม้จะฟังธรรมขณะนั้นก็ไม่มีปัญญาสะสมมาที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นขณะใดที่เข้าใจถูกเพราะปัญญาที่สะสมมาทำให้ขณะที่เกิดขึ้นมีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วยจึงสามารถที่จะเข้าใจธรรมได้
- ปัญญาเจตสิกที่เกิดกับคุณอาช่าคุณอาคิ่ลเท่ากับปัญญาเจตสิกที่เกิดกับท่านพระสารีบุตรในขณะปฏิสนธิจิตของท่านพระสารีบุตรไหม? (ไม่) เพราะฉะนั้นแต่ละคนไม่สามารถที่จะรู้ได้ ๑ ขณะจิตมีอะไรที่สะสมมาแล้วในแสนโกฏิกัปป์
- ขณะใดที่มีความเห็นผิดก็รู้ว่า ความเห็นผิดนั้นสะสมมาอยู่ในจิตพร้อมที่จะเกิดความเห็นผิด
- การเกิดของแต่ละ ๑ คน เป็น ๑ ขณะในสังสารวัฏฏ์แล้วไม่กลับมาอีกเลย ชาตินี้ทุกคนกระทำกรรมไว้มากไม่รู้กรรมไหนจะให้ผล แต่ถ้าเป็นกุศลกรรมที่ประกอบด้วยปัญญาให้ผลก็สามารถที่จะฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนสามารถที่จะรู้ความจริงได้ตามลำดับขั้น
- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประมวลผลของกรรมและอกุศลกรรมที่จะทำปฏิสนธิกิจไว้ว่าเป็นจิตกี่ประเภท
- ไม่ว่าจะเป็นอกุศลกรรมใดๆ ที่ทำแล้วทั้งหมดมากหรือน้อยก็ตาม ถ้าเป็นเหตุให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นปฏิสนธิจิตนั้นไม่ประกอบด้วยโสภณเจตสิกและจิตที่ทำปฏิสนธิกิจในอบายภูมิทั้งหมดมี ๑ ดวง ๑ประเภทเท่านั้น
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า อกุศลวิบากคือ จิตที่เป็นผลจากอกุศลกรรมทั้งหมดมี ๗ ดวงหรือ ๗ ประเภทเท่านั้น
- เดี๋ยวนี้กำลังเห็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมก็เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เพราะฉะนั้น “จักขุวิญญาณ” เป็นอกุศลวิบาก ๑
- ทางรับผลของอกุศลกรรมมีจิตที่เกิดขึ้นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
- จิตเห็นดับแล้วกรรมทำให้จิตที่เกิดต่อเป็นผลของกรรมที่ต้องรู้อารมณ์เดียวกับจิตเห็นแต่ไม่เห็น คือ“สัมปฏิจฉันนะ” มิฉะนั้นก็ไม่มีการที่จะรับอารมณ์นั้นได้เลยหมดเลย
- แสดงว่า การเห็นเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจเป็นผลของอกุศลกรรม เท่านั้นไม่พอเลยต้องมีผลของกรรมที่ทำให้เมื่อจักขุวิญญาณดับแล้วยังมีผลของกรรมที่ต้องรู้อารมณ์เดียวกับจิตเห็นแต่ไม่เห็น ที่ต้องรู้อารมณ์เดียวกับจิตเห็นเพราะอารมณ์ยังไม่ดับ ด้วยเหตุนี้จิตนั้นจึงเป็น “สัมปฏิจฉันนกิจ” อกุศลวิบากเมื่อเป็นผลของอกุศลกรรม
- เพียงรับรู้ต่อจากจิตเห็นขณะเดียวยังไม่พอ ต้องมีจิตที่รับรู้ยิ่งกว่านั้นอีกคือ เมื่อสัมปฏิจฉันนดับ จิตที่เกิดต่อเป็น “สันตีรณจิต” หมายความว่า รู้อารมณ์นั้นมากกว่าแค่สัมปฏิจฉันนะ
- อกุศลกรรมทำให้เกิดจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสที่เป็นอกุศลวิบาก๕ ดวงและสัมปฏิจฉันนะ ๑ สันตีรณ ๑ ไม่มีอกุศลวิบากใดๆ อีกเลยนอกจากจิต ๗ ดวงนี้
- (อาช่าสงสัยทำไมไม่พูดถึงปฏิสนธิจิตเพราะก็เป็นผลของอกุศลกรรม) เดี๋ยวสิคะ ศึกษาธรรมทีละคำให้เข้าใจมั่นคงว่า กรรมทั้งหมดที่ทำไม่ว่าจะฆ่าสัตว์ ประทุษร้ายพระพุทธเจ้าหรือไม่ว่าอะไรทั้งหมด กรรมทั้งหมดทุกอย่างให้ผลเป็นอกุศลวิบากกี่ดวง? (ตามที่เข้าใจอกุศลกรรมผลจะเป็นอะไรก็ได้คืออกุศลวิบาก ก็เป็น ๑) อกุศลวิบากทั้งหมดมีเท่าไหร่? (๗ คือเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สัมผัสทางกาย สัมปฏิจฉันน สันตีรณ แล้วแต่นี้ถามถึงปฏิสนธิด้วยว่าใช่ไหม)
- เห็นไหม ยังไม่ไปไหนเลยจะไปโน่นแล้ว ทีละนิดทีละหน่อยทีละหนึ่งให้เข้าใจมั่นคงจนไม่ต้องไปเปิดหนังสือดู และไม่ก็ต้องหาเหตุผลเพราะพูดให้เข้าใจอย่างหมดเท่าที่สามารถเข้าใจได้ไม่สงสัยอีก แต่กลับไปคิดถึงอย่างอื่นอีกแล้ว ฟังทีละน้อยได้ไหมว่ามั่นคงหรือยังว่า อกุศลกรรมที่ทำไว้แล้วทั้งหมดไม่สามารถจะให้ผลเกินกว่าที่เรากล่าวถึงแล้ว
- เพราะฉะนั้นย้ำ ไม่ต้องไปคิดถึงปฏิสนธิหรืออะไรทั้งสิ้น กำลังพูดเรื่องอะไร กำลังพูดเรื่องอกุศลวิบาก พูดถึงเรื่องอกุศลวิบากว่าอย่างไร พูดถึงเรื่องอกุศลว่า กรรมใดๆ ก็ตามทำไปแล้วไม่สามารถที่จะทำให้จิตอื่นเกิดได้นอกจากจิตที่เป็นผลของอกุศลกรรมคือ เห็นเป็นผลของอกุศลวิบาก ๑ ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสและสัมปฏิจฉันน สันตีรณ กำลังพูดตรงนี้ใช่ไหม
- เดี๋ยวนี้มีจักขุวิญญาณอกุศลวิบากไหม (ตอนนี้ไม่ได้เห็นอะไรที่ไม่น่าพอใจน่าจะเป็นผลของกุศล) เห็นไหม สามารถจะรู้จริงๆ ได้ไหมหรือคิดเองเท่านั้น (คร่าวๆ ถ้าเป็นสถานการณ์ใด ถ้าเจาะจงก็เป็นผลของกุศลเพราะทุกอย่างดีอยู่)
- เพราะฉะนั้นทุกอย่างดีเมื่อไหร่ (เข้าใจว่า ถ้าเห็นดีก็คือตอนที่เป็นผลของกุศลกรรมในอดีต) ขอโทษ จะรู้อย่างนั้นเมื่อไหร่ ก็ถามว่า ขณะนี้มีอกุศลวิบากไหม ค่อยๆ คิดค่อยๆ ไปทีละขณะ (ไม่สามารถรู้ได้) ต้องมั่นคง ไม่สามารถรู้ได้แม้ว่าเป็นความจริง ถูกต้องไหม
- ต้องเข้าใจให้ลึกซึ้ง เรารู้ว่า ผลของกรรมมี มีการเห็น การได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสแต่ “ไม่รู้จริงๆ ” ในขณะที่จิตเห็นเกิดขึ้นว่า เป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก แต่ อกุศลวิบากมีจริงไหมอกุศลวิบากมีจริงไหม (มีจริง)
- เพราะฉะนั้นนี่เป็นความลึกซึ้งของธรรมที่ต้องพิจารณา มี “จิตก่อนเห็น” มี “จิตเห็น” และมี “จิตหลังเห็น” แต่ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นมี “จิตเห็น” เท่านั้นที่ปรากฏให้รู้ว่า เห็นเป็นเห็นแต่ปรากฏให้รู้โดยเป็น “นิมิต” ของจิตเห็น
- เพราะฉะนั้นอยู่ในโลกของนิมิตตั้งแต่เกิดจนตายใช่ไหม
- ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ไม่ทรงแสดงธรรมตามความเป็นจริงคนอื่นจะรู้ได้ไหมว่า อยู่ในโลกของนิมิตของสิ่งที่เกิดดับ กว่าจะรู้ว่าไม่มีเราจริงๆ ต้องมีความเข้าใจลึกซึ้งแค่ไหน
- อยู่ในโลกของนิมิตของสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ ที่ปรากฏและสิ่งที่เห็น ๑ ยังไม่ปรากฏว่าเป็นอะไรใช่ไหม
- กว่าจะเห็นสิ่งที่เกิดดับเป็นนิมิตของเห็นและสิ่งที่ปรากฏของเห็น เพียง ๑ เล็กๆ นั่นเป็นนิมิตของเห็นและสิ่งที่ปรากฏให้เห็น กว่าจะเห็นรูปร่างสัณฐานต้องมีการที่จิตเกิดดับและเห็นสิ่งที่ปรากฏต่อๆ กันจนกระทั่งปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานแม้เล็กที่สุดเท่าผม
- กว่าแต่ละจุดที่รวมกันเป็นนิมิตของผมมารวมกันเป็นรูปร่างสัณฐานที่เป็นคิ้ว เป็นตา เป็นจมูก เป็นปากเท่าไหร่ แต่ละนิมิตของสิ่งที่เกิดดับเร็วกว่านั้นที่ทำให้เกิดนิมิตขึ้น
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีตรัสรู้ความจริงสิ่งที่เป็นปกติแต่ไม่มีใครรู้ว่า เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ ไม่ใช่ใครเลย ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น
- จิตเห็นที่เป็นกุศลวิบากมีจริง จิตเห็นที่เป็นอกุศลวิบากมีจริง แต่ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ เพราะอะไร (เพราะความลึกซึ้งของธรรมนั้นและเป็นเพราะปัญญาไม่พอ) เพราะฉะนั้นความไม่รู้มากแค่ไหนรู้หรือยัง
- เพราะฉะนั้นเริ่มเรียนแต่ละธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ผลของกรรมที่เป็นอกุศลมีเพียง ๗ ดวง
- การเกิดต่างกันเพราะกรรมต่างกัน กิจแรกของจิตในแต่ละชาติคืออะไร (ปฏิสนธิ)
- อกุศลวิบากมี ๗ เพราะฉะนั้นเป็นผลของกรรมที่เกิดเพราะฉะนั้นจิตอะไรทำกิจปฏิสนธิ เวลาที่อกุศลกรรมให้ผลทำให้เกิดขึ้น จิตดวงไหนทำกิจเกิดเป็นปฏิสนธิจิตเป็นกิจแรก อกุศลวิบากมี ๗ เท่านั้นเวลาเกิดเป็นผลของอกุศลกรรมเพราะฉะนั้นอกุศลจิตไหนทำกิจปฏิสนธิ (สันตีรณ) เพราะอะไร (เห็นได้้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัสทำได้กิจเดียว สัมปฏิฉันนรับรู้อารมณ์เท่านั้น ส่วนสันตีรณทำได้มากกว่านั้น)
- เพราะฉะนั้นคุณอาช่าเห็นได้มั้ยว่า ต้องอาศัยความเข้าใจที่มั่นคง ทำไมจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่นพวกนี้ทำปฏิสนธิกิจไม่ได้ เพราะเพียงแค่ทำกิจเห็น กิจได้ยินเท่านั้นและสัมปฏิจฉันนก็ต้องรับรู้ต่อ มิฉะนั้นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็หายๆ ไปไม่เกิดไม่เป็นอารมณ์ และสิ้นสุดของการที่เป็นอกุศลวิบากคือ สันตีรณขณะสุดท้ายไม่มีจิตอื่นอีก
- เพราะฉะนั้นจิตนี้แหละทำปฏิสนธิกิจในอบายภูมิเป็นสัตว์เดรัจฉานเกิดในนรกเป็นเปรตอสุรกายในภพภูมิที่ไม่ดี ไม่ว่าจะไม่ดีเท่าไหร่ก็เพราะปฏิสนธิจิตเป็น “อเหตุกสันตีรณอกุศลวิบาก”
- ปฏิสนธิจิตของหนอนเป็นจิตอะไร ปฏิสนธิของเปรตเป็นจิตอะไร ปฏิสนธิในนรกเป็นจิตอะไร เข้าใจแล้วทั้งหมดไม่ต้องไปนั่งเปิดตำราเลยเพราะรู้กรรมที่ได้ทำไปแล้วเป็นอกุศลทั้งหมดให้ผลเป็นอกุศลวิบาก ๗
- ในขณะที่เป็นอกุศลวิบากแต่ละ ๑ ความรู้สึกที่เกิดร่วมด้วยคืออะไร ต้องมีเวทนาเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพราะฉะนั้นความรู้สึกที่เกิดกับจิตเห็นเป็นเวทนาประเภทไหน (อุเบกขา)
- จิตได้ยินเกิดพร้อมกับความรู้สึกอะไร (เกิดกับทุกขเวทนาหรือสุขเวทนา) กำลังได้ยินความรู้สึกขณะที่ได้ยินเป็นอะไร (อุเบกขา) ได้กลิ่น (เช่นเดียวกัน) ลิ้มรสเผ็ดลิ้มรสเป็นจิตอะไร (ตอบเป็นรวมๆ ตอนแรกว่าเผ็ดมากเป็นทุกขเวทนาแต่พิจาณาใหม่ว่าขณะที่ลิ้มรสเป็นอุเบกขา) แล้วเวลาที่สัมผัสกายความรู้สึกเป็นอะไร (จำได้ว่าทางกายไม่เหมือนตอนที่เห็นได้ยินหรือลิ้มรส ตามความเข้าใจน่าจะเป็นสุขเวทนาหรือทุกขเวทนา)
- นี่เป็นความต่างของรูปที่กระทบ “ปสาท” ใช่ไหม กำลังเจ็บมากเป็นคุณอาช่ารึเปล่า เป็นอะไรขณะนั้นเป็นจิตประเภทไหน (กายวิญญาณอกุศลวิบาก)
- เพราะฉะนั้นทางกายจะเป็นอุเบกขาเวทนาได้ไหม (ไม่ได้) ถูกต้อง ก็เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นผลของกรรมตั้งแต่เกิดและเกิดแล้วภวังคจิตเป็นจิตที่เป็นผลของอกุศลกรรมเป็นจิตประเภทไหน (อกุศลวิบาก) ประเภทไหน ดวงไหน ถามว่าผลของกรรมขณะที่จิตเกิดแล้วเป็นภวังค์ ขณะที่จิตดำรงภพชาติเป็นภวังค์เป็นจิตประเภทไหนสำหรับจิตที่เป็นผลของอกุศลกรรม
- เพราะฉะนั้นอุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากทำกิจอะไรบ้างเท่าที่ทราบ (เท่าที่สนทนาก็มีปฏิสนธิ ภวังค์) แล้วสันตีรณ? (รวมสันตีรณด้วย) เป็นกี่กิจแล้ว (๓ กิจ)
- ปฏิสนธิ ภวังค์ สันตีรณ แล้วจุติกิจ? สันตีรณอกุศลวิบากทำกิจจุติได้ไหม? (แสดงว่าทั้งหมด ๔) ความจริงมีอีกกิจ ๑ ซึ่งเรายังไม่ถึงเพราะกำลังพูดถึงวาระแต่ละวาระจิตเพราะฉะนั้นอีกกิจหนึ่งยังไม่พูดแต่เท่าที่รู้คือ “สันตีรณ” ทำกิจ ๕ กิจทีละ ๑ กิจ
- เดี๋ยวนี้มีสันตีรณจิตไหม (มี) สันตีรณจิตเดี๋ยวนี้ทำกิจอะไร (สันตีรณ) แล้วทำกิจอะไรอีกด้วย (ไม่ทราบ) สันตีรณทำกิจได้กี่กิจเมื่อกี้นี้ เอาแค่ ๓ กิจ เวลานี้เราพูด ๔ กิจใช่ไหม กิจที่ ๕ ยังไม่พูดถึงเดี๋ยวนี้สันตีรณทำกิจอะไร (สันตีรณ) จิตเดียวหรือ (จิตเดียวเท่าที่เข้าใจ) ไม่ได้พูดถึงคุณอาช่าแต่พูดถึงเดี๋ยวนี้สันตีรณจิตเกิดขึ้นทำกิจอะไร (ทำกิจสันตีรณและภวังค์ด้วย) เพราะฉะนั้นถูกต้องสันตีรณจิตเกิดขึ้นทำสันตีรณกิจและทำภวังคกิจสำหรับคนที่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานและในอบายภูมิ ไม่มีใครเลย
- ปฏิสนธิของคุณอาช่าเป็นอะไร (เป็นกุศลวิบาก) สันตีรณจิตจะทำภวังคกิจได้ไหมสำหรับคุณอาช่า (ไม่ได้) สำหรับคุณอาคิ่ลสันตีรณทำภวังคกิจได้ไหม (ไม่ได้เช่นเดียวกัน) นี่คือเข้าใจธรรมทั้งหมดไม่มีใครเลยนอกจากเป็นธรรมที่เกิดเป็นแต่ละ ๑ ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น มีอะไรที่สงสัยไหม
- (สงสัยว่า ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม เช่น เกิดเป็นมนุษย์ ภวังค์ที่เกิดในภูมิมนุษย์เป็นผลของสันตีรณไม่ได้หรือ) ขอโทษ เดี๋ยวๆ ๆ เรากำลังพูดถึงสันตีรณจิตที่เป็นอกุศลวิบากถูกต้องไหม แล้วสันตีรณจิตที่เป็นกุศลวิบากมีไหม (มี)
- เพราะฉะนั้นสันตีรณกุศลวิบากเป็นผลของอะไร (เป็นผลของกุศลกรรม) เพราะฉะนั้นสันตีรณกุศลวิบากรู้อารมณ์ที่ไม่ดีได้ไหม (ไม่ได้) สันตีรณอกุศลวิบากรู้อารมณ์ที่ดีได้ไหม (ไม่ได้) สันตีรณอกุศลวิบากมีกี่กิจ ทำกิจได้กี่กิจที่เราพูดมาทั้งหมดแล้วเป็นเฉพาะอกุศลวิบาก (๕ กิจ) เพราะฉะนั้นสันตีรณกุศลวิบากทำกิจได้กี่กิจ (นี่คือคำถาม คือตรงนี้ที่อยากจะทราบ)
- เพราะฉะนั้นพูดถึงสันตีรณ ยังไม่พูดถึงกุศลวิบากอกุศวิบาก สันตีรณทำได้ ๕ กิจ สันตีรณทำ ๕ กิจเพราะฉะนั้นสันตีรณกุศลวิบากก็ต้องทำ ๕ กิจ สันตีรณอกุศลวิบากก็ต้องทำ ๕ กิจเพราะเป็นสันตีรณ
- จิตอะไร สันตีรณประเภทไหนทำกิจเกิดในอบายภูมิ (สันตีรณทำกิจปฏิสนธิในอบายภูมิ) เพราะฉะนั้นสันตีรณกุศลวิบากจะทำกิจปฏิสนธิในอบายภูมิได้ไหม (ไม่ได้)
- เพราะฉะนั้นกุศลวิบากสันตีรณทำกิจปฏิสนธิที่ไหน (สุขคติภูมิ) แต่เพราะเป็นผลของกุศลกรรมอย่างอ่อนจึงไม่ใช่มหาวิบากจิตทำกิจปฏิสนธิแต่เป็นสันตีรณกุศลวิบากทำกิจปฏิสนธิในสุขคติภูมิชั้นต้นเป็นมนุษย์หรือเป็นสวรรค์ชั้นต่ำ
- เพราะฉะนั้นความต่างของปฏิสนธิที่เป็นมหาวิบาก “กามาวจรวิบาก” กับปฏิสนธิที่เป็นสันตีรณกุศลวิบากคืออย่างไร มีอะไรที่ต่างเพราะว่าทำกิจปฏิสนธิในสุคติภูมิเหมือนกัน สองอย่างนี้ต่างกันอย่างไร (ต่างกันที่การสะสมกุศลมากน้อย)
- การเกิดต่างกันเมื่อเป็นผลของกุศลไม่เกิดในอบายภูมิแต่เป็นผลของกุศลที่มีกำลังอ่อนมาก เพราะฉะนั้นอกุศลกรรมก็เบียดเบียนได้ ทำให้ขณะที่เกิดในมนุษย์เป็นคนพิการ เป็นคนปัญญาอ่อน เป็นคนหูหนวก เป็นคนตาบอดตั้งแต่กำเนิด คือถึงวาระที่ตาจะเกิดก็เกิดไม่ได้ เพียงแต่ให้ไม่ไปอบายภูมิแต่ว่าเป็นคนที่ไม่ประกอบด้วยทรัพย์สินเงินทองชื่อเสียง ฯลฯ และขณะนั้นเป็นผู้ที่มีความพิการ
- เพราะฉะนั้นเราก็เริ่มตั้งแต่เกิดที่ความต่างกัน ไม่ใช่ใครเลยแต่เป็นจิตทั้งหมดเจตสิกและรูป เพื่อที่จะให้เข้าใจทีละน้อยว่า “ไม่มีเรา” ก็ต้องรู้ว่าเป็นอะไรละเอียดขึ้น ไม่สงสัยแล้วใช่ไหม ทำไมเกิดเป็นคนพิการ เป็นคนปัญญาอ่อน
- เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรที่สนใจที่จะสนทนาก็คราวหน้านะคะ สวัสดีค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ยินดีในกุศลของทุกท่านครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ ด้วยนะครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณตู่ ปริญญ์วุฒิ ด้วยค่ะ
กราบอนุโมทนาครับ