เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
กระผมไม่เข้าใจความหมายในเวลามสูตรว่า
การ ที่บุคคลเจริญอนิจจสัญญาแม้เพียงเวลาลัดนิ้วมือมีผลมากกว่า การ ที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุด แม้เพียงเวลาสูดดมของหอม ขอความอนุเคราะห์ช่วยให้ปัญญาด้วยครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กุศล แต่ระดับ ก็มีความประณีต แตกต่างกันไป เพราะฉะนั้น กุศลที่เป็นเหตุ แตกต่างกัน ผล ก็ต้องแตกต่างกันไปด้วยสำหรับ การเจริญเมตตา โดยที่สุด แม้เพียงวลาสูดดมของหอม มุ่งหมายถึง ขณะที่เจริญสมถภาวนา เป็น เมตตา พรหมวิหาร ที่ถึง ฌานจิต เพียงชั่วขณะนั้น เรียกว่า เพียงช่วงเวลา สูดดมของ หอม คือ สั้นมาก มีผลมากกว่า การรักษาศีล 5 แต่ แม้กระนั้น การเจริญสมถภาวนา ทีเป็นการเจริญเมตตา ก็มีผลน้อยกว่า คือ กุศลประณีตน้อยกว่า การเจริญอนิจจ สัญญา แม้เพียงเวลาลัดนิ้วมือเดียว คือ การรู้ลักษณะของสภาพธรรมด้วยปัญญา ทีเป็นวิปัสสนาญาณ ที่เห็นถึงความไม่เที่ยงเกิดขึ้นและดับไป เพียงชั่วขณะจิตที่ สั้น รวดเร็วมาก เพียงนิดเดียว ก็มีผลมากกว่า การเจริญเมตตาจิตแล้ว
ด้วยเพราะว่า การเจริญเมตตา เป็นความสงบจากกิเลส ชั่วคราว ไม่สามารถละกิเลสได้จริงๆ จึงยังเป็นไปในวัฏฏะ เป็นกุศลที่เป็นในวัฏฏะ คือ นำมาซึ่งการเวียนว่ายตายเกิด มีการเกิด เป็นพรหม เป็นต้น และ ไม่ได้ทำให้ละคลายกิเลสได้เลย เพียงสงบจาก กิเลสชั่วคราว เปรียบเหมือนหินทีทับหญ้าไว้ หญ้าไม่ตาย ต่อเมื่อใด เอาหินออก หญ้าก็เจริญเติบโตอีก เมื่อใด ที่เมตตาไม่เกิด อกุศลก็เกิดได้อีก เพราะ การเจริญ เมตตา เป็นการเจริญสมถภาวนา ที่ไม่ใช่หนทางการดับกิเลส แต่ การเจริญวิปัสสนา เป็นหนทางที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เป็นหนทางการดับกิเลสอย่างแท้จริง จึงเป็น กุศลที่เรียกว่า วิวัฏฏะ คือ เพื่อพรากออกไปจากสังสารวัฏฏ์ และ สามารถดับกิเลส ได้ ดังนั้น การเจริญอนิจสัญญา คือ การทีเกิดปัญญา พร้อมกับความจำถูกใน ขณะนั้น ว่าสภาพธรรมที่เกิดขึ้นไม่เที่ยง ย่อมเป็นปัจจัยให้เห็นตามควาเมป็นจริง ละความไม่รู้ และ ความเห็นผิด ได้ทีละน้อย อันเป็นหนทางที่จะนำไปสู่การพ้นทุกข์ หมดกิเลสได้จริงๆ ในอนาคต เพราฉะนั้น การเจริญอนิจจสัญญา ที่เป็นปัญญารู้ ความจริงของสภาพธรรมที่ไม่เที่ยง ทีเป็น วิปัสสนาญาณ จึงมีผลมากกว่าการเจริญ เมตตาจิต ครับ ตามเหตุผลที่กล่าวมา
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อนิจจสํญญา คือ การจำสภาพธรรมโดยความไม่เที่ยง ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะสัญญาเท่านั้น ต้องมีสภาพธรรมที่เป็นฝ่ายดีประการต่างๆ เกิดร่วมด้วย และจะต้องเกิดร่วมกับซึ่งเกิดร่วมกับปัญญาที่เป็นระดับสูงที่เป็นวิปัสสนาญาณ แสดงให้เห็น ตามความเป็นจริงว่า จะต้องมีปัญญาตั้งแต่ขั้นฟังในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ จึงจะเป็นเหตุให้ปัญญาในระดับสูงเกิดขึ้นเป็นไปได้ และเป็นการ ดำเนินในหนทางที่จะเป็นไปเพื่อดับทุกข์ ดับกิเลสได้ในที่สุด ซึ่งเป็นการอบรม เจริญวิปัสสนา แต่ถ้าเป็นการอบรมเจริญเมตตาแล้ว ก็ไม่ถึงการกับที่จะดับ กิเลสได้ เพียงข่มกิเลสไว้ได้เท่านั้น ยังไม่พ้นจากทุกข์ ยังพ้นไปจากการเวียน ว่ายตายเกิด อนิจจสัญญา จึงมีผลมากกว่าการอบรมเจริญเมตตา เพราะเป็นการ อบรมเจริญที่เป็นไปเพื่อการดับกิเลส
เพราะฉะนั้นแล้ว ก็ต้องกลับมาในชีวิตประจำวัน เพราะทุกขณะมีธรรมเกิดขึ้น เป็นไป ที่จะทำให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมที่มีจริง ตามความเป็นจริง ก็ต้องอาศัยเหตุที่สำคัญ คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ไปทีละเล็กทีละน้อย และ ในขณะ ที่ยังมีชีวิตเป็นไปอยู่ ก็อยู่รวมกับผู้คนมากมาย ธรรมที่ควรอบรมเจริญ นั่นก็คือ เมตตา ความเป็นมิตร ความเป็นเพืือ่น ความหวังดี ไม่หวังร้าย ต่อผู้อื่น ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ไหน ก็ตาม ความเป็นมิตร เป็นเพื่อน ไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น ครับ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
อนิจจสัญญา คือ เห็นความไม่เที่ยงที่เกิดดับ เกิดดับ ค่ะ