[เล่มที่ 51] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 189
เถรคาถา ทุกนิบาต
วรรคที่ ๕
๑. กุมารกัสสปเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระกุมารกัสสปเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 51]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 189
เถรคาถา ทุกนิบาต วรรคที่ ๕
๑. กุมารกัสสปเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระกุมารกัสสปเถระ
[๒๙๘] ได้ยินว่า พระกุมารกัสสปเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
น่าอัศจรรย์หนอ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระคุณสมบัติของพระศาสดาของเราทั้งหลาย ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยประพฤติพรหมจรรย์ของพระสาวกผู้จักทำให้แจ้งซึ่งธรรมเช่นนี้ พระสาวกเหล่าใด เป็นผู้ยังไม่ปราศจากขันธ์ ๕ ในอสงไขยกัป พระกุมารกัสสปะนี้เป็นรูปสุดท้าย แห่งพระสาวกเหล่านั้น ร่างกายนี้มีในที่สุด สงสารคือ การเกิด การตาย มีในที่สุด บัดนี้ภพใหม่ไม่มี.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 190
วรรควรรณนาที่ ๕
อรรถกถากุมารกัสสปเถรคาถา
คาถาของท่านพระกุมารกัสสปเถระ เริ่มต้นว่า อโห พุทฺธา อโห ธมฺมา. เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ทั้งหลาย สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว แต่ในอรรถกถาอังคุตตรนิกาย ท่านกล่าวว่า เกิดในเรือนแห่งตระกูล.
เขาไปสู่สำนักของพระศาสดาแล้วฟังธรรมอยู่ เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่ง ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้กล่าวธรรมอันวิจิตร หวังตำแหน่งนั้น แม้ด้วยตนเองตั้งประณิธานไว้ กระทำบุญสมควรแก่ประณิธานที่ตั้งไว้ บำเพ็ญสมณธรรมในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ ท่องเที่ยวอยู่แต่ในสุคติภพเท่านั้น ถือปฏิสนธิในครรภ์แห่งธิดาของเศรษฐี ณ กรุงราชคฤห์ ในพุทธุปบาทกาลนี้.
ได้ยินมาว่า ธิดาของท่านเศรษฐีนั้น เป็นหญิงมีความประสงค์จะบวชแต่ในเวลาที่ยังเป็นกุมารีอยู่ทีเดียว ขออนุญาตมารดาบิดา ไม่ได้รับอนุญาตให้บรรพชา ไปสู่ตระกูลผัว ไม่รู้ว่าตนตั้งครรภ์ ทำสามีให้โปรดปราน จนสามีอนุญาต จึงบวช (ในสำนัก) นางภิกษุณีทั้งหลาย (ต่อมา) ภิกษุณีทั้งหลายเห็นนางมีครรภ์ จึงถามพระเทวทัต. พระเทวทัตตัดสินว่าไม่เป็นสมณะ. จึงพากันไปทูลถามพระทศพลอีก พระศาสดาทรงมอบให้พระอุบาลีเถระ (จัดการ).
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 191
พระเถระให้เรียกตระกูลทั้งหลายที่อยู่ในพระนครสาวัตถี และอุบาสิกาชื่อว่าวิสาขา มาแล้ววินิจฉัยในบริษัทพร้อมด้วยพระราชา ตัดสินว่านางภิกษุณีตั้งครรภ์มาก่อนบวช บรรพชาบริสุทธิ์. พระศาสดาทรงประทานสาธุการพระเถระว่า อธิกรณ์อันพระอุบาลีเถระวินิจฉัยถูกต้องดีแล้ว.
นางภิกษุณีนั้น คลอดบุตรมีรูปเหมือนทองคำ พระราชาพระนามว่าปเสนทิโกศล ทรงเลี้ยงดูบุตรของนาง และตั้งชื่อกุมารนั้นว่า กัสสปะ ในเวลาต่อมา ทรงจัดแจงตกแต่งประดับประดากุมารแล้ว นำไปสู่สำนักของพระศาสดา ให้บรรพชาแล้ว เพราะเหตุที่เขาบวชแต่ในเวลาที่ยังเป็นเด็ก เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เธอทั้งหลายจงเรียกกัสสปะมา จงให้ผลไม้ หรือของควรเคี้ยวนี้แก่กัสสปะ ดังนี้ เมื่อเขาทูลถามว่า กัสสปะไหน? ก็ตรัสว่า กุมารกัสสปะ. ท่านมีนามปรากฏว่า กุมารกัสสปะ นั่นแหละแม้ในเวลาที่มีอายุมาก เพราะมีนามที่ถือเอาตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกอย่างนี้ และเพราะเหตุที่เป็นพระราชบุตรบุญธรรมที่พระราชาทรงชุบเลี้ยง.
จำเดิมแต่เวลาที่บวชแล้ว ท่านทำกรรมในวิปัสสนา และเล่าเรียนพระพุทธวจนะ ครั้งนั้นท้าวมหาพรหม ผู้เคยบำเพ็ญสมณธรรมบนยอดเขา ร่วมกับพระกุมารกัสสปะ เป็นพระอนาคามี บังเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาส ทรงพระดำริว่า เราจักกระทำอุบาย เพื่อการบรรลุมรรคผล โดยแสดงมุขแห่งวิปัสสนา ดังนี้แล้ว จัดแจงแต่งปัญหา ๑๕ ข้อ แล้วไปบอกแก่ท่านผู้อยู่ในป่าอันธวันว่า ท่านจงทูลถามปัญหาเหล่านี้กะพระศาสดา พระเถระทูลถามปัญหาเหล่านั้น กะพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงพยากรณ์ปัญหาแก่พระเถระ. พระเถระเรียนปัญหาเหล่านั้น โดยทำนองที่พระศาสดาตรัสบอกแล้ว นั่นแล ยังวิปัสสนาให้ถึงขั้น ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 192
ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้นายก ทรงเกื้อกูลแก่สัตวโลกทั้งปวง เป็นนักปราชญ์ มีพระนามว่า ปทุมุตตระได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้น เราเป็นพราหมณ์มีชื่อเสียงโด่งดัง รู้จบไตรเพท เที่ยวไปในที่พักสำราญกลางวัน ได้พบพระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก กำลังทรงประกาศสัจจะ ๔ ทรงยังมนุษย์พร้อมด้วยทวยเทพให้ตรัสรู้ กำลังทรงสรรเสริญ พระสาวกของพระองค์ ผู้กล่าวธรรมกถาอันวิจิตรอยู่ ในหมู่มหาชน ครั้งนั้นเราชอบใจ จึงได้นิมนต์พระตถาคตแล้ว ประดับประดามณฑปให้สว่างไสว ด้วยรัตนะนานาชนิด ด้วยผ้าอันย้อมด้วยสีต่างๆ นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ ให้เสวยและฉันในมณฑปนั้น เรานิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวก ให้เสวยและฉันโภชนะมีรสเลิศต่างๆ ถึง ๗ วัน แล้วเอาดอกไม้ที่สวยงามต่างๆ ชนิด บูชาแล้วหมอบลงแทบบาทมูลปรารภฐานันดรนั้น ครั้งนั้น พระมุนีผู้ประเสริฐ มีความเอ็นดู เป็นที่อาศัยอยู่แห่งกรุณา ได้ตรัสว่า จงดูพราหมณ์นี้ ผู้มีปากและตาเหมือนดอกปทุม มากด้วยความปรีดาปราโมทย์ มีกายและใจสูงเพราะโสมนัส นำความร่าเริงมา จักษุกว้างใหญ่ มีความอาลัยในศาสนาของเรา เขาปรารถนาฐานันดรนั้น คือ การกล่าวธรรมกถาอันวิจิตร ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ พระศาสดามีนามว่าโคดม ซึ่งสมภพใน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 193
วงศ์พระเจ้าโอกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ผู้นี้จักเป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นโอรสอันธรรมเนรมิต จักได้เป็นสาวกของพระศาสดา มีนามว่า กุมารกัสสปะ เพราะอำนาจดอกไม้ และผ้าอันวิจิตรกับรัตนะ เขาจักถึงความเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้กล่าวธรรมกถาอันวิจิตร
เพราะกรรมที่ทำไว้ดีแล้ว และเพราะการตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เราท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่ เหมือนตัวละครหมุนเวียนอยู่กลางเวทีเต้นรำฉะนั้น เราเป็นบุตรของเนื้อชื่อว่าสาขะ หยั่งลงในครรภ์แห่งแม่เนื้อ ครั้งนั้นเราอยู่ในท้องมารดาของเรา ถึงเวรที่จะต้องถูกฆ่า มารดาของเรา ถูกเนื้อสาขะทอดทิ้ง จึงยึดเอาเนื้อนิโครธเป็นที่พึ่ง มารดาของเราอันพระยาเนื้อนิโครธ ช่วยให้พ้นจากความตาย สละเนื้อสาขะแล้ว ตักเตือนเราผู้เป็นบุตรของตัวในครั้งนั้นอย่างนี้ว่า ควรคบหาแต่เนื้อนิโครธเท่านั้น ไม่ควรเข้าไปคบหาเนื้อสาขะ ตายในสำนักเนื้อนิโครธประเสริฐกว่ามีชีวิตอยู่ในสำนักเนื้อสาขะ จะประเสริฐอะไร?
เรามารดาของเราและเนื้อนอกนี้ อันเนื้อนิโครธตัวเป็นนายฝูงพร่ำสอน อาศัยโอวาทของเนื้อนิโครธนั้น จึงได้ไปยังที่อยู่อาศัย คือ สวรรค์ชั้นดุสิตอันรื่นรมย์ ประหนึ่งว่า ไปยังเรือนของตัวที่ทิ้งจากไป ฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 194
เมื่อพระศาสนาของพระกัสสปวีรเจ้า กำลังถึงความสิ้นสูญอันตรธาน เราได้ขึ้นภูเขาอันล้วนด้วยหิน บำเพ็ญเพียรตามคำสอนของพระพิชิตมาร ก็บัดนี้ เราเกิดในตระกูลเศรษฐี ในพระนครราชคฤห์ มารดาของเรามีครรภ์ ออกบวชเป็นภิกษุณี พวกภิกษุณีรู้ว่า มารดาของเรามีครรภ์ จึงนำไปหาพระเทวทัต พระเทวทัตกล่าวว่า จงนาศนะ (กำจัด) ภิกษุณีผู้ลามกนี้เสีย ถึงในบัดนี้ มารดาบังเกิดเกล้าของเรา เป็นผู้อันพระพิชิตมารจอมมุนี ทรงอนุเคราะห์ไว้ จึงได้ถึงความสุขในสำนักของภิกษุณี พระเจ้าแผ่นดินพระนามว่า โกศล ได้ทรงทราบเรื่องนั้น จึงทรงเลี้ยงดูเราไว้ด้วยเครื่องบริหารแห่งกุมาร และตัวเรามีชื่อว่า กัสสปะ เพราะอาศัยพระมหากัสสปเถระ เราจึงถูกเรียกว่า กุมารกัสสปะ เพราะได้สดับพระธรรมเทศนา ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงถึงกายเช่นเดียวกับจอมปลวก จิตของเรา จึงพ้นจากอาสวกิเลส ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน โดยประการทั้งปวง เราได้รับตำแหน่งเอตทัคคะ ก็เพราะทรมานพระเจ้าปายาสิ. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
ก็พระเถระบรรลุพระอรหัตแล้ว อันพระศาสดาทรงตั้งไว้ในเอตทัคคะ โดยความเป็นผู้กล่าวธรรมอันวิจิตร พิจารณาข้อปฏิบัติของตนแล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตตผล ด้วยมุขคือประกาศคุณของพระรัตนตรัย ได้กล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 195
น่าอัศจรรย์หนอ พระพุทธเจ้า พระธรรมและพระคุณสมบัติ ของพระศาสดาของเราทั้งหลาย ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยประพฤติพรหมจรรย์ของพระสาวก ผู้จักทำให้แจ้งซึ่งธรรมเช่นนี้ พระสาวกเหล่าใด เป็นผู้ยังไม่ปราศจากขันธ์ ๕ ในอสงไขยกัป พระกุมารกัสสปะนี้เป็นรูปสุดท้าย แห่งพระสาวกเหล่านั้น ร่างกายนี้มีในที่สุด สงสาร คือ การเกิด การตายมีในที่สุด บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อโห เป็นนิบาตลงในอรรถแสดงความ อัศจรรย์.
บทว่า พุทฺธา ได้แก่ พระสัพพัญญูพุทธเจ้า เป็นพหูพจน์โดยเป็น คำแสดงความเคารพ ความก็ว่า โอ! พระสัมพุทธเจ้ามีพระคุณน่าอัศจรรย์.
บทว่า ธมฺมา ได้แก่ โลกุตรธรรม ๙ กับพระปริยัติธรรม.
บทว่า อโห โน สตฺถุ สมฺปทา ความว่า น่าอัศจรรย์สมบัติของพระทศพล ผู้เป็นศาสดาของเราทั้งหลาย.
บทว่า ยตฺถ ความว่า ด้วยสามารถแห่งการประพฤติพรหมจรรย์ ในพระศาสดาใด.
บทว่า เอตาทิสํ ธมฺมํ สาวโก สจฺฉิกาหิติ ความว่า แม้ขึ้นชื่อว่า พระสาวก จักกระทำให้แจ้งซึ่งธรรมเช่นนี้ คือ เห็นปานนี้ ได้แก่ ธรรมที่นำมาซึ่งความสิ้นไปแห่งกิเลสโดยไม่เหลือ อันเป็นบริวารแห่งฌานและอภิญญา อันบริสุทธิ์พิเศษด้วยดี สงบ ประณีต ยอดเยี่ยม เพราะเหตุนั้น พระเถระ จึงประกาศให้ทราบถึงการน้อมใจไปในคุณของพระรัตนตรัยว่า โอ พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย มีคุณน่าอัศจรรย์ เป็นเหตุแห่งการตรัสรู้คุณพิเศษอย่างนี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 196
คุณของพระธรรมน่าอัศจรรย์ สมบัติแห่งพระศาสดาของเราทั้งหลายน่าอัศจรรย์ ก็ความปฏิบัติชอบของพระสงฆ์ ย่อมเป็นอันพระเถระประกาศแล้ว ด้วยการประกาศสมบัติของพระธรรมนั่นเอง.
พระเถระแสดงการทำให้แจ้งซึ่งพระธรรม อันตนแสดงแล้ว ด้วยสามารถแห่งคุณสมบัติทั่วไปอย่างนี้ บัดนี้มุ่งจะให้น้อมเข้าไปในตน จึงกล่าวคาถา มีอาทิว่า อสงฺเขยฺเยสุ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสงฺเขยฺเยสุ ได้แก่ ในมหากัปทั้งหลาย ที่ล่วงพ้นคลองแห่งการนับ.
บทว่า สกฺกายา ได้แก่อุปาทานขันธ์ ๕. อธิบายว่า อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านั้น โดยปรมัตถ์ ท่านเรียกว่า สักกายะ เพราะเป็นที่ประชุมแห่งธรรมที่มีอยู่.
บทว่า อหุ ความว่า พระสาวกทั้งหลาย เป็นผู้ยังไม่ปราศจากอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านั้น เพราะยังไม่ประสบอุบายเป็นเครื่องยังอุปาทานขันธ์ ๕ ให้หมุนกลับ.
บทว่า เตสมยํ ปจฺฉิมโก จริโมยํ สมุสฺสโย ความว่า เพราะเหตุพระกุมารกัสสปนี้เป็นรูปสุดท้าย แห่งพระสาวกเหล่านั้น เพราะเหตุนั้นแล ร่างกายนี้จึงนับว่าเป็นร่างกายอันมีในที่สุด ฉะนั้น สงสารอันประกอบด้วยชาติ และมรณะ อันบัณฑิตหมายรู้กันว่า เป็นลำดับแห่งขันธ์เป็นต้น เป็นสงสาร ที่มีในที่สุด บัดนี้ คือ ต่อไป ภพใหม่จึงชื่อว่าไม่มี เพราะไม่มีภพต่อไปอีก. อธิบายว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย.
จบอรรถกถากุมารกัสสปเถรคาถา