สภาพธรรม แม้ไม่มีชื่อ แต่ก็มีอยู่จริงๆ
ขอเชิญสหายธรรมร่วมสนทนา ครับ
ธรรมเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น เกิดขึ้นและดับไปไม่มีวันหยุด จนกว่าวันนั้นจะมาถึง อนุโมทนาครับ
สิ่งที่มีจริงมี ๒ ประเภท คือนามธรรมและรูปธรรม ได้แก่ จิตและเจตสิก ซึ่งเป็นสภาพรู้ อาการรู้ ส่วนรูปธรรมเป็นสิ่งที่ถูกจิตรู้ รูปธรรมไม่สามารถรู้อะไร ถ้าไม่มีจิตเกิดขึ้น อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ สิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เช่น จิตเห็น ไม่มีใครทำเห็นให้เกิดขึ้นได้ จิตเห็นเกิดขึ้นทำกิจเห็น ไม่ใช่เรา เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยหลายปัจจัย ไม่ต้องเรียกชื่อว่าจิตเห็น ไม่ต้องเรียกจักขุวิญญาณ ก็มีสภาพธรรมที่มีจริงเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ...
เพราะอวิชชาปิดบังไม่ให้รู้สภาพธรรมะตามความเป็นจริง การฟังธรรมะเพื่อความเข้าใจ ละความไม่รู้ (อวิชชา) จนปัญญาเจริญขึ้นรู้สภาพธรรมะตามความเป็นจริง เป็นหนทางเดียวที่จะละความเป็นเราด้วยตัณหามานะและทิฏฐิ
ขออนุโมทนาคะ (◕‿◕✿) ..
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะ ธรรมะมีอยู่จริงทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็นสมัยไหน และก่อนที่จะพระพุทธเจ้าจะอุบัติก็มีธรรมะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมะ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ แต่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เป็นจิต เจตสิก รูป เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่งแล้วก็ดับ หาสาระไม่ได้ ไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง สามารถพิสูจน์ได้ทุกขณะว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ดีใจ เสียใจ ติดข้องยินดีพอใจ หงุดหงิดโกรธ ขุ่นเคือง ไม่พอ ใจ เป็นต้น ล้วนเป็นธรรมทั้งหมด เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น จึงควรที่จะศึกษา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อละคลายความไม่รู้ ละความเห็นผิดในสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ในที่สุด ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ