ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๔
โดย khampan.a  28 ส.ค. 2564
หัวข้อหมายเลข 36127

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


"ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ"

ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี

วันเสาร์ที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๔



(ดอกบัวสดใสงามตา ที่ มศพ. _ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๔)


~ สิ่งหนึ่ง ซึ่งคนที่เข้าใจว่าเขานับถือพระพุทธศาสนาและเป็นชาวพุทธ แต่ก็ยังไม่เข้าใจธรรม เขาเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าตรัสเรื่องคำให้เขาเข้าใจ ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาจะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ไม่รู้ว่าทำไมพระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมี ไม่ใช่เอาคำมาให้เราฟังมาให้เราคิด ต้องไม่ลืมว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ทุกขณะ
~ ตั้งแต่เกิดมาทุกชาติ ทุกคนเห็น ทุกคนได้ยิน ทุกคนชอบ ทุกคนเจ็บ แต่ไม่รู้อะไรเลย
~ ต่อไปนี้ เข้าใจให้ถูกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงตรัสรู้เพื่อเอาคำมาให้เราฟังและคิด แต่ให้เราเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
~ เขาไม่รู้เลยว่าเขาไม่เข้าใจอะไร จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ เขาจึงสามารถจะรู้ว่าเดี๋ยวนี้เขาไม่เข้าใจอะไร
~ ต้องไม่ลืมว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงทุกขณะ
~ ฟังธรรมเพื่อละความไม่รู้ในทุกอย่างที่มีเดี๋ยวนี้ นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการที่จะศึกษาธรรม ต้องรู้จุดประสงค์จริงๆ ว่าเพื่ออะไร
~ ต้องเป็นคนตรง มีผู้ที่สามารถรู้และให้คนอื่นได้รู้ด้วย จะฟังไหม?
~ ฟังธรรม เพราะเหตุว่า มีผู้ที่ได้ตรัสรู้และทรงแสดงความจริงให้เราได้ฟัง แต่ต้องฟัง ไม่ใช่เชื่อ แต่ฟัง ไตร่ตรอง รู้ว่า พูดถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ซึ่งสามารถจะเข้าใจได้ และฟังแล้วก็รู้ว่า ทั้งหมด เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เพื่อละความไม่รู้ ซึ่งไม่รู้มามากมายมหาศาลกี่ชาติแล้ว
~ ความไม่รู้มากและลึกซึ้งด้วย ทำให้คนไม่รู้ว่าไม่รู้อะไรเลย เพราะฉะนั้น ฟังธรรม สำคัญที่สุด คือ ตั้งจิตไว้ชอบ หมายความว่า เพื่อรู้ เพื่อละความไม่รู้ เพราะว่า ถ้าไม่รู้ ก็ละความไม่รู้ ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นคนตรง ไม่รู้ มาก นาน เยอะ เพราะฉะนั้น กว่าจะได้เข้าใจธรรมเพื่อที่จะละความไม่รู้ที่มีมากนั้น ต้องละเอียดขึ้นๆ ต้องรู้ ต้องตั้งจิตไว้ชอบ ว่า เพราะไม่รู้ จึงฟัง เพื่อรู้ เพื่อละความไม่รู้
~ ต้องตรงจริงๆ ฟังธรรมเพื่อละความไม่รู้เมื่อรู้ แต่ถ้ายังไม่รู้ก็ละความไม่รู้ไม่ได้ ถ้ามีความเข้าใจตรงมั่นคงอย่างนี้ เขาจะไม่สนใจอะไรเลย นอกจากฟังแล้วไตร่ตรองแล้วเข้าใจสิ่งที่เขาเคยไม่รู้
~ พอพูดคำว่า นิพพาน เขาไม่รู้เลย แต่เขาคิดว่านิพพานเป็นสถานที่ที่เขาจะไปถึง เพราะเขาไม่รู้ว่านิพพานคืออะไร แต่เขาอยากไป อยากถึงนิพพาน
~ คนที่เคยอยากไปนิพพาน คนที่อยากถึงนิพพาน ก่อนนี้ที่เคยอยากอย่างนั้น รู้ไหมว่านิพพานคืออะไร? ไม่มีใครคาดคิดความหมายของนิพพานเลย นิพพานไม่ใช่ชื่อ ไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นที่ที่ดับกิเลส เพราะเหตุว่า ขณะนี้ทุกคนมีกิเลสมาก ถ้าทุกคนเห็นโทษของกิเลส ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ เพื่อละกิเลส จนกว่ากิเลสดับ จะรู้ได้อย่างไรว่ากิเลสดับ? เมื่ออบรมเจริญปัญญาเข้าใจขึ้นๆ จนถึงขณะที่กิเลสดับ นั่นคือ ถึงนิพพาน
~ มั่นคงว่าฟังธรรมเพื่อเข้าใจ มิฉะนั้นแล้ว ก็ละความไม่รู้ไม่ได้ เมื่อละความไม่รู้ไม่ได้ ก็ละกิเลสไม่ได้
~ กิเลสที่ต้องละก่อน คือ การยึดถือสิ่งที่มีว่าเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นเรา เป็นเขา เป็นทุกอย่าง
~ สิ่งที่จะรู้ มีตลอดเวลา แต่เพราะไม่ได้เข้าใจไม่ได้ฟังไม่ได้ไตร่ตรองจึงไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้
~ เราฟังเรื่องของสิ่งที่กำลังมี ไม่ต้องไปคิดถึงตำราหนังสืออะไรเลยทั้งสิ้น แต่กำลังฟังเรื่องของสิ่งที่กำลังมีให้เข้าใจความจริงแต่ละหนึ่งของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้
~ ต้องฟังแล้วฟังอีกๆ เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มี
~ ไม่ต้องเชื่อทันที แต่ฟังแล้วไตร่ตรอง เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประสงค์ที่จะให้เราเกิดปัญญาของเราเอง
~ ธรรมลึกซึ้ง คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้ง คนฟังต้องเข้าใจความลึกซึ้ง
~ เห็นมานานแล้ว เดี๋ยวนี้ก็เห็น แต่ไม่รู้ นี่คือ ความไม่รู้มากมายขนาดไหน
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษาเป็นเรื่องของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้จริงๆ แต่ลึกซึ้งจนกระทั่งสามารถเข้าใจได้ทีละเล็กทีละน้อย
~ ธรรม จริง เปลี่ยนไม่ได้เลย ไม่มีใครเห็นตาได้ เพราะว่า ในบรรดารูปทั้งหมด นั้น รูปเดียวที่ปรากฏให้เห็นได้ คือ สิ่งที่กำลังกระทบตาแล้วจิตเห็นเกิดขึ้นเห็นเท่านั้น
~ ใครเปลี่ยนความจริงได้ไหม? นี่คือ ความหมายของธรรม สิ่งที่มีจริงเกิดปรากฏ เมื่อมีเหตุปัจจัยจึงเกิด ต้องฟังแล้วเริ่มเข้าใจจริงๆ ว่า กำลังเข้าใจสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่ใช่เราที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วทรงแสดง
~ ธรรม มี ๒ อย่างใหญ่ๆ อย่างหนึ่งไม่รู้อะไรเลยเป็นรูปธรรม ไม่สามารถรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น แต่สภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง ไม่มีรูปใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่เมื่อเกิดต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด
~ มีตาทุกวัน มีเห็นทุกวัน ไม่รู้ทุกวัน เห็นไหม? ลึกซึ้งไหม?
~ ต้องมั่นคงจริงๆ ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของทุกอย่าง ละเอียดมาก และตรัสว่า เป็นธรรมซึ่งเกิดดับ ไม่มีเรา ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง


~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงถึงความละเอียดยิ่งของรูปธรรมและนามธรรม เพื่อให้รู้ความจริงในขณะที่ฟังว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดแน่นอน มีจริงๆ เมื่อเกิดแล้วก็ดับไป ไม่เหลือเลย
~ ต้องมีความมั่นคงว่าธรรมลึกซึ้ง จึงจะศึกษาธรรมด้วยความเคารพ และเมื่อเห็นความลึกซึ้ง ก็เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ
~ รูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิต มี ๖ รูป (จักขุปสาทรูป โสตปสาทรูป ฆานปสาทรูป ชิวหาปสาทรูป กายปสาทรูป และ หทยวัตถุ) จิตเห็น กุศลวิบาก อกุศลวิบาก เกิดที่จักขุปสาทรูป จิตได้ยิน กุศลวิบาก อกุศลวิบาก เกิดที่โสตปสาทรูป จิตได้กลิ่น กุศลวิบาก อกุศลวิบาก เกิดที่ฆานปสาทรูป จิตลิ้มรส กุศลวิบาก อกุศลวิบาก เกิดที่ชิวหาปสาทรูป จิตที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย กุศลวิบาก อกุศลวิบาก เกิดที่กายปสาทรูป (รวมเป็นจิต ๑๐ ดวง) นอกจากนั้นแล้วจิตอื่นทั้งหมดที่ไม่ใช่ ๑๐ ดวงนี้ เกิดที่หทยวัตถุ
~ จิตเห็นเกิดที่ไหน? เกิดที่จักขุปสาทรูป

จิตก่อนจิตเห็น เกิดที่ไหน? (จิตก่อนจิตเห็น คือ จักขุทวาราวัชชนจิต) เกิดที่หทยวัตถุ

จิตที่เกิดต่อจากจิตเห็น เกิดที่ไหน? (จิตที่เกิดต่อจากจิตเห็น คือ สัมปฏิจฉันนจิต) เกิดที่หทยวัตถุ
~ กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เรา ไม่มีเรา ต้องค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
~ จะหมดกิเลสโดยไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องของสิ่งที่มีในชีวิตประจำวันทั้งหมด ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถรู้ความจริงได้ ถ้าค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ต้องรู้ว่าขณะนี้เป็นการฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริง ค่อยๆ เห็นความละเอียด เห็นความหลากหลายของนามธรรมและรูปธรรม
~ ถ้าไม่ศึกษาความละเอียดทีละหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นธรรมอะไร
~ ทำไมเราต้องรู้ว่าเห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะนั่นเป็นความจริงถึงที่สุด เห็น จะเป็นสิ่งที่ถูกเห็นไม่ได้
~ ไม่ใช่ปัญญาเมื่อไม่เข้าใจ



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย petsin.90  วันที่ 28 ส.ค. 2564

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย natthayapinthong339  วันที่ 28 ส.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย chatchai.k  วันที่ 28 ส.ค. 2564

กราบอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย ธนฤทธิ์  วันที่ 28 ส.ค. 2564

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย เมตตา  วันที่ 28 ส.ค. 2564

ขอบพระคุณ และยินดียิ่งในกุศลจิตของ อ.คำปั่นด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย Jans  วันที่ 28 ส.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย มังกรทอง  วันที่ 28 ส.ค. 2564

ธรรม จริง เปลี่ยนไม่ได้เลย ไม่มีใครเห็นตาได้ เพราะว่า ในบรรดารูปทั้งหมด นั้น รูปเดียวที่ปรากฏให้เห็นได้ คือ สิ่งที่กำลังกระทบตาแล้วจิตเห็นเกิดขึ้นเห็นเท่านั้น

น้อมกราบอนึโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 8    โดย เข้าใจ  วันที่ 28 ส.ค. 2564

กราบอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย มังกรทอง  วันที่ 28 ส.ค. 2564

ฟังธรรมเพื่อละความไม่รู้ในทุกอย่างที่มีเดี๋ยวนี้ นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการที่จะศึกษาธรรม ต้องรู้จุดประสงค์จริงๆ ว่าเพื่ออะไร ต้องเป็นคนตรง มีผู้ที่สามารถรู้และให้คนอื่นได้รู้ด้วย จะฟังไหม

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 10    โดย panasda  วันที่ 29 ส.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย Centella  วันที่ 29 ส.ค. 2564

น้อมระลึกบูชาพระคุณทั้งสามด้วยเศียรเกล้า


ความคิดเห็น 12    โดย มังกรทอง  วันที่ 29 ส.ค. 2564

ฟังธรรม เพราะเหตุว่า มีผู้ที่ได้ตรัสรู้และทรงแสดงความจริงให้เราได้ฟัง แต่ต้องฟัง ไม่ใช่เชื่อ แต่ฟัง ไตร่ตรอง รู้ว่า พูดถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ซึ่งสามารถจะเข้าใจได้ และฟังแล้วก็รู้ว่า ทั้งหมด เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เพื่อละความไม่รู้ ซึ่งไม่รู้มามากมายมหาศาลกี่ชาติแล้ว
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 13    โดย Kalaya  วันที่ 6 พ.ค. 2565

กราบเท้าท่านอาจารย์ กราบอนุโมทนาค่ะ