ทุกวันนี้เวลาเราเห็นอะไรไปรอบๆ เราก็จะเห็นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ เพราะสภาพธรรมเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วจนปรากฏเป็นนิมิตรูปร่างสัณฐานของสิ่งต่างๆ ทำให้เรามองออกว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นผู้หญิงผู้ชาย เห็นเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ ฯลฯ แต่เมื่ออบรมเจริญปัญญาจนเห็นทุกอย่างเป็นเพียงสภาพธรรม เป็นเพียงธาตุ เป็นธรรมะแต่ละหนึ่งที่เกิดดับก็ย่อมไม่สามารถมองเห็นเป็นรูปร่างสัณฐานเป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ได้อีกต่อไป แล้วจะยังมองออกอยู่หรือไม่ว่าอันไหนเป็นคน สัตว์ วัตถุ ผู้หญิง ผู้ชาย อันนี้ก็เป็นความสงสัยจริง ๆ ครับ อย่างสมมติว่าจะเดินข้ามถนน ถ้าเห็นเป็นเพียงธาตุ เป็นเพียงธรรมะแล้ว จะดูออกไหมครับว่าอันไหนเป็นรถ อันไหนเป็นคน อันไหนเป็นถนน คือว่าเป็นความสงสัยจริงๆ ครับ เพราะจากการฟัง ผมเข้าใจว่า เมื่อปัญญาประจักษ์แจ้งสภาพธรรมแต่ละอย่างที่เพียงเกิดดับ ก็ต้องประจักษ์แจ้งตัวธรรมะแต่ละหนึ่งจริงๆ เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ต้องปรากฏเป็นเพียงธาตุ เป็นเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น จึงไม่น่าจะมองเห็นเป็นคนเป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ได้อีกแล้ว เพราะไม่สามารถปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานของวัตถุสิ่งต่างๆ ได้อีกต่อไป แล้วจะอยู่อย่างไร ขอเมตตาท่านอาจารย์โปรดคลายความสงสัยอันนี้ด้วยครับผม ขอบพระคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งโดยเฉพาะการเกิดขึ้นเป็นไปของจิต เจตสิก ที่เป็นวิถีจิต ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ขณะนี้เห็นและก็มีจิตประเภทอื่นๆ เกิดต่อ สัมปฏิฉันนะ สันตีรณะ...ชวนจิต ที่เป็นกุศล อกุศล เกิดต่อและวีถีจิตทางมโนทวารเกิดต่อ อีกหลายวิถี ทำให้เห็นเป็นสัตว์ บุคคล พระพุทธเจ้าแสดงว่า เพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียว จิตเกิดดับนับไม่ถ้วนแสนโกฏิขณะ เพราะฉะนั้น วิถีจิตเกิดมากมาย เห็นแล้วยังไม่เป็นสัตว์ บุคคล ชวนจิตเป็นกุศล อกุศลแล้ว และ ค่อยเห็นสัตว์บุคคล นี่คือธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลง แม้พระพุทธเจ้า พระอัครสาวก สาวกทั้งหลายผู้เป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสหมดสิ้นแล้ว ละความยึดถือว่าเป็นสัตว์บุคคล ประจักษ์ตัวสภาพธรรมแต่ละขณะ ท่านเหล่านั้น ก็ยังมีการเห็นเป็นสัตว์ บุคคล เห็นเป็นท่านพระอานนท์ เห็นเป็นสิ่งต่างๆ เพราะธรรมดาท่านเหล่านั้นจะต้องมีวิถีจิตทางมโนทวารเกิดขึ้น คิดเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ต่างจากปุถุชน เพราะฉะนั้นผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ขณะที่เห็นเกิด เห็นดับไป สติเกิดระลึกรู้ลักษณะของเห็น ทางชวนจิตแรก ยังไม่เห็นเป็นสัตว์บุคคล แต่ปัญญาเกิดได้แล้ว และหลังจากนั้นวิถีจิตทางมโนทวารเกิดต่อเห็นเป็นใคร สิ่งหนึ่งสิ่งใด และที่กล่าวมา ระยะเวลาแสนสั้นมากๆ ตามที่กล่าวแล้ว เพียงเสี้ยววินาที จิตเกิดดับนับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น จึงไม่มีปัญหาในการเจริญสติปัฏฐาน ก็ยังเห็นเป็นสัตว์บุคคล เดินข้ามถนนอะไรได้ เพราะไม่ว่าใคร จะต้องมีจิตทางมโนทวารวิถีเกิดต่อให้เห็นเป็นสัตว์บุคคล แม้พระพุทธเจ้าละความยึดถือความเป็นสัตว์บุคคลหมดสิ้นแล้ว ก็ยังเห็นเป็นสิ่งต่างๆ ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความเป็นจริงของสภาพธรรม ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น แต่ละคน แต่ละชีวิต ก็เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมเลย ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน ไม่มีเรา ไม่มีเขา มีแต่ธรรมเท่านั้นเมื่อเป็นธรรมที่มีจริงแต่ละอย่างๆ จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือเป็นใครได้อย่างไร เพราะเป็นธรรม ธรรมที่เป็นสภาพรู้ธาตุรู้นั้น มี ๒ ประะภท คือ จิตและเจตสิก เป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ เมื่อจิตเกิดขึ้น (พร้อมด้วยเจตสิก) ก็ย่อมรู้อารมณ์ ตามควรแก่จิตประเภทนั้นๆ โดยที่จิตเท่านั้นที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ ส่วนเจตสิกก็เกิดร่วมกับจิต รู้อารมณ์เดียวกันกับจิต ทำกิจหน้าที่ของตนๆ แล้วก็ดับไป ชีวิตประจำวัน จิต (และเจตสิก) จึงรู้ได้ทั้งปรมัตถ์ และ บัญญัติ ซึ่งเมื่อศึกษาไปตามลำดับก็จะเข้าใจได้ว่า ปรมัตถ์ คือ สิ่งที่มีจริงๆ เช่น สี เสียง เสียง กลิ่น รส กุศล อกุศล เป็นต้น ส่วนสมมติบัญญัติ ไม่มีมีจริง จิตรู้บัญญัติได้โดยจิตคิดถึง ชื่อสัณฐาน เรื่องราวของปรมัตถธรรม
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้และทรงแสดงความจริงของสภาพธรรมเพื่อประโยชน์เกื้อกูลสำหรับผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาอย่างแท้จริง
ธรรมดาของวิถีจิต (จิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์โดยอาศัยทวารหนึ่งทวารใด เช่น ทางตา ทางหู เป็นต้น) คือ เมื่อวิถีจิตทางปัญจทวารเกิดขึ้นรู้อารมณ์ ดับไป ย่อมเป็นปัจจัยให้วิถีจิตทางมโนทวารเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ต่อจากปัญจทวาร และมีคิดถึงชื่อสัณฐานของสิ่งที่เห็นเป็นต้น ไม่ยกเว้นว่าเป็นปุถุชนหรือเป็นพระอริยบุคคล หรือพระอรหันต์ สรุปคือทุกบุคคลเมื่อเห็น เมื่อได้ยิน เป็นต้น แล้วย่อมมีการคิดนึกต่อทางมโนทวาร ความจริงเป็นอย่างนี้ แต่สำหรับผู้ที่เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง ก็จะไม่เห็นผิดว่าบัญญัติมีจริง แต่เข้าใจถูกต้องว่ามีแต่ปรมัตถธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป และ การรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นกิจของปัญญาที่เข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่เมตตาแสดงความละเอียดและความจริงของสภาพธรรมครับ พระธรรมยิ่งศึกษายิ่งลุ่มลึก ลึกซึ้งมากครับ
ขออนุโมทนาครับ