ด้วยลักษณะเป็นการคุยกันเรื่อง เจ็บป่วยที่สีกาต้องไปหาหมอ ตอนท้ายก่อนจะจบการพูดคุย เลยบอกให้สีกาดูแลตัวเองด้วย กับ ช่วงสีกาเดินทาง ก็บอกให้สีกาดูแลตัวเอง เดินทางให้ปลอดภัย ลักษณะแบบนี้ จะต้องอาบัติ สังฆาทิเสส ไหมครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สำหรับการที่จะต้องอาบัติสังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๓ ที่ว่าด้วยการพูดเกี้ยวหญิงนั้น มุ่งหมายถึงการพูดพาดพิงถึงวัจจมรรค (ทวารหนัก) ปัสสาวมรรค (ทวารเบา) พาดพิงเมถุนธรรม (การกระทำของบุคคลคู่ระหว่างชายกับหญิง) ถ้ามีการกล่าวคำพูดอย่างนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส เป็นการกระทำไม่เหมาะสม ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชนทั้งหลาย ส่วนการพูดอย่างคำถามที่ได้ยกขึ้นมาถามนั้น ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส เพราะไม่ได้พูดพาดพิงวัจจมรรค ปัสสาวมรรคและเมถุนธรรม แต่ก็เป็นวาจาที่ไม่เหมาะสม สำหรับเพศบรรพชิต ซึ่งจะต้องมีการสำรวมระวังอย่างยิ่งทีเดียว เพราะไม่ว่าจะเป็นการล่วงละเมิดสิกขาบทข้อใด ก็มีโทษสำหรับผู้ล่วงละเมิดทั้งนั้น การได้ศึกษาพระวินัย ในแต่ละสิกขาบทให้เข้าใจ ย่อมเกื้อกูลได้มากทีเดียว ที่จะทำให้ได้รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ผิด อะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อที่จะได้ละเว้นไม่กระทำในสิ่งที่ผิด และเพื่อที่จะได้น้อมประพฤติเฉพาะในสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น ครับ
สำหรับต้นบัญญัติสังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๓
ขอเชิญคลิกอ่านโดยตรงจากพระวินัยปิฎก ครับ
พูดเกี้ยวหญิง อาบัติสังฆาทิเสส [มหาวิภังค์]
ขออนุโมทนา
ขอนบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรื่องของคำพูดก็มาจากจิตใจ เพราะฉะนั้น เมื่อบวชเป็นพระภิกษุแล้ว กล่าวได้ว่า เพศสตรีเป็นเพศที่เป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์จริงๆ ทางที่ดีที่สุด ก็คือ ตอนนี้บวชอยู่ จะต้องดำรงตนในฐานะของบรรพชิตที่จะต้องฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา น้อมประพฤติตามพระธรรมไม่ใช่ว่าจะทำอะไรก็ได้ที่อยากจะทำ เพราะอันตรายอย่างยิ่งทีเดียว ถ้าไม่ได้น้อมประพฤติตามพระธรรมวินัย ถ้าได้น้อมประพฤติตามพระวินัยจริงๆ จะไม่มีเหตุให้เดือดร้อนใจเลย ดังนั้น การได้ศึกษาพระธรรมวินัย ให้เข้าใจ ก็จะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลที่ดี ทำให้รู้ว่าอะไรควรทำและอะไรควรเว้น ครับ
....อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ....
ขออนุโมทนาครับ