ชื่อว่า อันตรธานไปแห่งธาตุ พึงทราบอย่างนี้ :- ปรินิพพานมี
๓ คือ กิเลสปรินิพพาน การปรินิพพานแห่งกิเลส, ขันธปรินิพพาน
การปรินิพพานแห่งขันธ์, ธาตุปรินิพพาน การปรินิพพานแห่งธาตุ
บรรดาปรินิพพาน ๓ อย่างนั้น กิเลสปรินิพพาน ได้มีที่โพธิบัลลังก์.
ขันธปรินิพพาน ได้มีที่กรุงกุสินารา ธาตุปรินิพพาน จักมีในอนาคต.
จักมีอย่างไร ? คือครั้งนั้น ธาตุทั้งหลายที่ไม่ได้รับสักการะ และ
สัมมานะในที่นั้นๆ ก็ไปสู่ที่ๆ มีสักการะ และสัมมานะ ด้วยกำลัง
อธิษฐานของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. เมื่อกาลล่วงไป สักการะและ
สัมมานะก็ไม่มีในที่ทั้งปวง. เวลาพระศาสนาเสื่อมลง พระธาตุ
ทั้งหลายในตามพปัณณิทวีปนี้ จักประชุมกันแล้วไปสู่มหาเจดีย์ จากมหาเจดีย์ ไปสู่นาคเจดีย์ แต่นั้นจักไปสู่โพธิบัลลังก์. พระธาตุทั้งหลายจากนาคพิภพบ้าง จากเทวโลกบ้าง จากพรหมโลกบ้าง
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 172
จักไปสู่โพธิบัลลังก์แห่งเดียว. พระธาตุแม้ประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์
ผักกาดจักไม่หายไปในระหว่าง. พระธาตุทั้งหมดจักประชุมกันที่
มหาโพธิมัณฑสถานแล้ว รวมเป็นพระพุทธรูป แสดงพุทธสรีระ
ประทับนั่งขัดสมาธิ ณ โพธิมัณฑสถาน. มหาปุริสลักษณะ ๓๒
อนุพยัญชนะ ๘๐ พระรัศมีประมาณวาหนึ่ง ทั้งหมดครบบริบูรณ์
ทีเดียว. แต่นั้นจักการทำปาฏิหาริย์แสดง เหมือนในวันแสดงยมก
ปาฏิหาริย์. ในกาลนั้น ชื่อว่า สัตว์ผู้เป็นมนุษย์ ไม่มีไปในที่นั้น.
ก็เทวดาในหมื่นจักรวาฬ ประชุมกันทั้งหมด พากันครวญคร่ำรำพัน
ว่า วันนี้พระทสพลจะปรินิพพาน จำเดิมแต่บัดนี้ไป จักมีแต่ความมืด.
ลำดับนั้น เตโชธาตุลุกโพลงขึ้นจากพระสรีรธาตุ ทำให้พระสรีระนั้น
ถึงความหาบัญญัติมิได้. เปลวไฟที่โพลงขึ้นจากพระสรีรธาตุ พลุ่ง
ขึ้นจนถึงพรหมโลก เมื่อพระธาตุแม้สักเท่าเมล็ดพรรณผักกาดยัง
มีอยู่ ก็จักมีเปลวเพลิงอยู่เปลวหนึ่งเท่านั้น เมื่อพระธาตุหมดสิ้นไป
เปลวเพลิงก็จักขาดหายไป. พระธาตุทั้งหลายแสดงอานุภาพใหญ่
อย่างนี้แล้ว ก็อันตรธานไป. ในกาลนั้น หมู่เทพกระทำสักการะ
ด้วยของหอม ดอกไม้และดนตรีทิพย์เป็นต้น เหมือนในวันที่พระ
พุทธเจ้าทั้งหลายปรินิพพาน กระทำปทักษิณ ๓ ครั้ง ถวายบังคม
แล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์ จัก
ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้เสด็จอุบัติขึ้นในอนาคต ดังนี้แล้วก็กลับไปที่
อยู่ของตนๆ นี้ ชื่อว่า อันตรธานแห่งพระธาตุ.
ขอโพสต์เรื่องเกี่ยวกับพระธาตุ เพราะพวกเราทุกท่านกำลังจะได้ทำกุศลเกี่ยวกับพระธาตุ ในขณะนี้ ขอ อ นุ โม ท น า ใน กุศลของทุกท่าน ครับ
ถ้าไม่เข้าใจพระธรรม... ก็เริ่มอันตรธานไปทีละเล็กละน้อย..หน้าที่ของเราคือศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ...ขออนุโมทนาครับ
เป็นธรรมดาของโลก ทุกสิ่งที่เกิดแล้วไม่มีอะไรยั่งยืน แม้พระธรรมคำสอนก็ค่อยๆ เสื่อมไป
คนทึ่ศึกษาธรรม และมาฟังธรรมะมีน้อยมาก เมื่อเทียบกับคนทีไม่ได้ฟังมีมากกว่าค่ะ พระ
เขี้ยวแก้วด้านล่างของพระพุทธเจ้าอยู่ที่นาคพิภพ และศรีลังการ พระเขี้ยวแก้วด้านบนอยู่ที่
ดาวดึงส์ และคันธาระ
แม้แต่เรื่องพระธาตุ...........พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงแสดง "สัจธรรม" แม้แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า........ก็ทรงอยู่ภายใต้ "กฏแห่งกรรม" สิ่งใดเกิดขึ้น ตั้งอยู่ สิ่งนั้นย่อมดับไป......เป็นธรรมดา จึงควรศึกษาพระธรรมวินัย ด้วยความไม่ประมาท. ......................... ขออนุโมทนา..........................
อบรมปัญญาเพื่อละกิเลส และเจริญกุศลทุกๆ ประการเท่าที่มีโอกาสน่าจะดีที่สุด