มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ
บิดามารดา ป่วยหนักมาก ระยะสุดท้าย หมอบอกว่า ตอนนี้อยู่ได้เพราะเครื่องช่วยหายใจและยาเพิ่มความดัน และให้ยาเพื่อนอนหลับตลอด ตื่นมาจะทรมาณมาก ถ้าถอดก็ไปแน่ ถามว่าทำใจได้ยัง ถ้าทำได้แล้ว จะให้ลดยาเพิ่มความดัน และคนไข้จะค่อยๆ ไปแบบไม่รู้สึกตัว หรือจะให้นอนไปตลอด
เราต้องการย้ายตัวคนไข้ และถามคนไข้จะกลับบ้านก่อนไหมย้ายไปที่ รพ. อื่น ถอดท่อช่วยหายใจเปลี่ยนเป็น หน้ากากแทนไหม คนไข้พยักหน้าอย่างเหนื่อยมาก ถามหลายรอบเหมือนกัน เรายังไม่อยากหมดหนทางช่วย จึงได้ทำแบบนี้
จึงพาคนไข้กลับ หมออัดยานอนหลับมาเต็มมาก พอถึงบ้านและพยาบาลให้เราถอดท่อช่วยหายใจเอง รีบใส่หน้ากากออกซิเจนแทน รีบโทรเรียกรถพยาบาลอีกโรงพยาบาลอีกแห่งมารับ แต่หน้ากากออกซิเจนไม่ช่วย เพราะปอดไม่ทำงานแล้ว เสียไปหลังจากถอดท่อแป๊บเดียว อย่างนี้เราจะผิดไหมครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จากที่ผู้ร่วมสนทนากล่าวมา ก็เป็นการแสดงเจตนาที่จะต้องการที่จะช่วยคนไข้ มีบิดา มารดา เป็นต้น อย่างสุดความสามารถ ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้ท่านจากไป โดยการถอดเครื่องช่วยหายใจ เพราะฉะนั้น การกระทำอย่าเดียวกัน แต่ จิตต่างกัน เจตนาต่างกันก็ได้ เช่น ถอดเครื่องช่วยหายใจ เพื่อให้คนไข้ จากไปอย่างสบาย ก็คือ เจตนาให้คนไข้สิ้นชีวิต อันนี้ เป็นเจตนาฆ่า เป็นบาป เป็นปาณาติบาต หากเป็นมารดา บิดา ก็เป็น อนันตริยกรรม
แต่ อีกในกรณีหนึ่ง ถอดเครื่องช่วยหายใจ ด้วยเจตนาที่จะเปลี่ยนไปเป็นเครื่องช่วยหายใจแบบหน้ากาก นั่นคือ ไม่ได้มีเจตนาให้คนไข้จากไป หรือ ตาย แต่เจตนาที่จะช่วยเหลือด้วยการเปลี่ยนอุปกรณ์เท่านั้น แต่คนไข้ก็สิ้นชีวิต เมื่อไม่มีเจตนาฆ่า แต่เป็นเจตนาที่จะช่วย แม้คนไข้สิ้นชีวิต จากการถอดเครื่องช่วยหายใจของเราก็ไม่เป็นปาณาติบาต ไม่เป็นอนันตริยกรรม เพราะ ไม่มีเจตนาฆ่านั่นเอง ครับ
เปรียบเหมือนคุณหมอ ที่ผ่าตัด มารดา หรือ บิดา มีเจตนาที่จะรักษา แต่สุดท้าย มารดา หรือ บิดา ก็สิ้นชีวิตลง เพราะ อาจจะทำผิดพลาดในการผ่าตัด แพทย์ผู้เป็นบุตร ก็ไม่ได้ทำบาป ไม่ได้ทำอนันตริยกรรม เพราะ ไม่มีเจตนาฆ่า แต่ มีเจตนาช่วยเหลือ แม้จะทำผิดพลาดในระหว่างผ่าตัด ทำให้ มารดา บิดา สิ้นชีวิตก็ตาม ครับ
เพราะฉะนั้น บาปไม่บาป สำคัญที่เจตนาเป็นสำคัญ ว่ามีเจตนาอย่างไร มีเจตนาฆ่า ให้จากไปหรือไม่ ครับ ซึ่งในกรณีของผู้ถาม ไม่ได้มีเจตนาฆ่า แต่เป็นเจตนาที่ช่วยเหลือจนสุดความสามารถ แต่ บิดา มารดา ก็ตายลง แต่ไม่เป็นอนันตริยกรรม ครับ สบายใจได้
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
เชิญคลิกอ่านที่นี่ ครับ
ควรถอดสายอ๊อกซิเจนให้บุพการีจากไปหรือไม่คะ
ขอบคุณมากครับ
อีกสองสามปี ผมจะขอบวชไม่มีกำหนด เพื่อพ่อ แม่และอยากได้มรรคผลในชาตินี้นะครับ เบื่อวัฏสงสารนี้มาก
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สัตว์โลกมีกรรมเป็นของของตน เมื่อเราได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว ก็ไม่ควรที่ไปคิดเศร้าโศกเสียใจ เพราะไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้ผู้มีพระคุณสิ้นชีวิต เมื่อท่านได้จากไป ก็ควรที่ทำบุญอุทิศไปให้ท่าน นี้คือ สิ่งที่ถูกต้องที่สุด และสำหรับเราผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็จะต้องสะสมความดี และ ฟังพระธรรมให้เข้าใจต่อไป นี้แหละคือสิ่งที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง สำหรับเรื่องการบวช นั้น ก่อนที่จะทำอะไรลงไป ก็ขอให้ได้ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ก่อน เพราะ เรื่องการบวชเป็นเรื่องของอัธยาศัยของผู้ที่สะสมมาที่จะเห็นโทษของการอยู่ครองเรือน แล้วสละทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อเข้าสู่เพศบรรพชิต อันเป็นเพศที่สูงยิ่งเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองเป็นสำคัญ และ การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม บรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นเรื่องที่ยาวไกลมาก ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา ดังนั้น จึงสำคัญที่ขณะนี้ ที่ได้เริ่มฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ