ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อมี หทยรูป หนึ่งกลุ่ม เล็กๆ ที่มองไม่เห็น ก็มี กายทสก (คือ รูป ๑๐ รูป) คือมี กายปสาท รวมอยู่ด้วย รูป ๑๐ รูปนั้น คือ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ สี กลิ่น รส โอชา และ กายปสาท แต่รูปใดก็ตาม ที่มีกรรมเป็นสมุฏฐาน จะต้องมี ชีวิตินทรียรูป รวมอยู่ด้วย นี่คือความต่างกันของรูปที่เกิดเพราะกรรม กับ รูปที่ไม่ได้เกิดเพราะกรรม
แม้ในส่วนที่เล็กที่สุดเพียง ๑ กลาป ที่แตกย่อยลงไปแล้ว รูปใด เป็นรูปที่เกิดเพราะกรรมรูปนั้น ต้องมีชีวิตินทรีย์ รวมอยู่ด้วย ชีวิตินทรียรูปเป็นรูปที่ทำให้ดำรงความมีชีวิต ซึ่งก่อนจะตาย ๑๗ ขณะจิต กัมมัชรูป ไม่เกิด เพราะฉะนั้น กัมมัชรูป ที่เกิดก่อนจุติจิต มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ หลังจากที่สิ้นชีวิตไปแล้ว แม้มองดูเหมือนจะมีตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ก็ไม่มี รูปซึ่งกิดจากกรรม เป็นสมุฏฐาน เพราะฉะนั้น จึงเป็นรูปซึ่งปราศจากชีวิต
นี่เป็นสิ่งที่ละเอียดมาก ที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อเข้าใจจริงๆ ก็จะค่อยๆ รู้ว่า แท้ที่จริงนั้น ทุกๆ ขณะจิต ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นและเป็นไปตามเหตุปัจจัย ทั้งสิ้น นอกจาก กายทสก ๑๐ รูป ที่ประกอบด้วย ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ สี กลิ่น รส โอชา กายปสาท และ (หทยรูป) รูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิต
ในกลุ่มที่ ๒ ก็ยังมี ภาวทสกรูป ในภพภูมิ ที่มีรูป เช่น มนุษย์ เทวดา ก็มีเพศหญิง เพศชาย ซึ่งในขณะนั้น (ขณะแรกเกิด) ไม่ได้ปรากฏความเป็นหญิง ความเป็นชาย แต่ ภาวทสกรูป จะทำให้เกิดความเป็นไป ในลักษณะ ของเพศหญิง และ เพศชาย เมื่อต่อไปเจริญขึ้น ก็จะปรากฏ ลักษณะ รูปร่าง สัญฐาน กิริยา อาการต่างๆ ฯ เพราะ ภาวทสกรูป ทำให้กิดขึ้น เป็นไป ในลักษณะของหญิง และชาย นานไหม กว่าจะเติบโตขึ้นแต่ว่า โลก ยังไม่ปรากฏ ตราบใดที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป และกรรม ก็ทำให้เกิด ภวังคจิต ที่เป็นประเภทเดียวกันเกิดด้วย
จิตซึ่งเป็นวิบาก ระดับไหน ประกอบด้วยอะไร ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ... จะไปเอาวิบากของผู้อื่น มาร่วมด้วย มาแทนด้วย ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า มีแต่ ความเป็นธาตุ (ธรรมะ) ที่เกิดขึ้น (เท่านั้น) โดดเดี่ยวไหม นี่แหละ คือความจริง ที่จะต้องรู้ว่า ไม่มีใครเลย นอกจากธรรมซึ่งมีลักษณะอย่างนั้นๆ ที่เกิดขึ้นแล้วดับไป
พื้นฐานอภิธรรมวันอาทิตย์ ที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๑ ณ อาคารมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
บรรยายโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ถอดเทปโดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล
ขออนุโมทนา
"จิตซึ่งเป็นวิบาก ระดับไหน ประกอบด้วยอะไร"
ขอความกรุณาช่วยอธิบาย พร้อมยกตัวอย่างด้วยค่ะ
ขออนุโมทนาคะ
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 11613 ความคิดเห็นที่ 1 โดย h_peijen
ท่านหมายถึง วิบากจิตที่นำปฏิสนธิของแต่ละคน เช่น ถ้าเป็นอเหตุกปฏิสนธิ ไม่ประกอบด้วยเหตุ ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย ตลอดทั้งชาติ เขาก็เป็นอย่างนั้น จะให้เปลี่ยนเป็นบุคคลใหม่ก็ไม่ได้ และ บางบุคคลปฏิสนธิด้วยมหาวิบากญาณ สัมปยุต ประกอบด้วยโสมนัสเวทนา พื้นของจิตตลอดทั้งชาติก็เป็นเช่นนั้น จะเป็น อื่นไม่ได้
ขออนุโมทนาครับ
ชีวิตนี้ใครลิขิต ถ้าทางโลกก็จะว่าฟ้าดินลิขิตชีวิตนี้ เกิดมาเป็นขอทาน คนจน คน รวย คนฉลาด คนโง่ เจ้าฟ้า ข้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดิด ฯลฯ แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนเมื่อเกิดก็สามารถแบ่งออกได้เป็นจำพวกใหญ่ๆ อยู่ ๘ จำพวก ๔ จำพวกมีปัญญา ประกอบ ๔ จำพวกไม่มีปัญญาประกอบ เมื่อศึกษาและรู้คำสอนที่ให้เกิดปัญญา จึง ต้องฟังธรรมให้เข้าใจไม่ใช่เรา เพื่อให้เกิดปัญญา เมื่อเกิดใหม่มี ๓ เหตุจะได้มีปัญญา เป็นคนฉลาดสามารถรู้และเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้ง่ายและถูกต้อง ครับ
ใครลิขิตชีวิตเรา ถ้าตอบว่า กรรมอย่างเดียวจะถูกไหม ลองหาคำตอบบางที่ ตอบว่า กรรมกับกิเลส คำตอบจริงๆ คืออะไร หรือกรรมกับกิเลสไปด้วยกัน (เจตนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกดวง)
นี่แหละ คือความจริง ที่จะต้องรู้ว่า ไม่มีใครเลย นอกจากธรรมซึ่งมีลักษณะอย่างนั้นๆ ที่เกิดขึ้นแล้วดับไป
ทุกฺขเมว หิ สมฺโภติทุกฺขํ ติฏฺฐติ เวติ จนาญฺญตฺร ทุกฺขา สมฺโภติ นาญฺญตฺร ทุกฺขา นิรุชฺฌติ ทุกข์ เท่านั้น เกิดขึ้นทุกข์ ย่อมตั้งอยู่ และ เสื่อมไปนอกจาก ทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด นอกจาก ทุกข์ ไม่มีอะไรดับ พระโอวาทานุสาสนี
เข้าใจว่า "ธรรม" ในที่นี้ หมายรวมทั้งจิต เจตสิก และ รูป ซึ่งเกิดดับ "ชีวิต" คือ ขันธ์ ๕ ต้องมีทั้ง นามและรูป เป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและทำให้มีความเป็นไปของชีวิต (ขันธ์ ๕) ตามเหตุ ตามปัจจัย
ขออนุโมทนาครับ