ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๑๗
โดย khampan.a  18 มิ.ย. 2566
หัวข้อหมายเลข 46083

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจาก
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๑๗


~ เมื่อมีบุคคลผู้ประเสริฐที่สุด ทรงดับกิเลสจนหมดสิ้น ทรงตรัสรู้สภาพธรรมทุกอย่างตามความเป็นจริงแล้วทรงแสดงความจริง คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ควรฟังคำของพระองค์ ด้วยความละเอียด รอบคอบ ไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง
~
ประโยชน์ของการฟังพระธรรม คือ การฟังพระธรรมแล้วก็พิจารณาพระมหากรุณาคุณที่ทรงแสดงพระธรรมไว้เป็นอันมาก ที่จะให้เห็นโทษของอกุศลของตนเอง และจะได้เจริญกุศลยิ่งขึ้น เพราะเหตุว่าอกุศลทั้งหลาย ย่อมเป็นเหตุให้เกิดภัยต่างๆ มากมาย
~
ถ้ายังไม่เริ่มสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ในขณะนี้ ต่อไปความไม่รู้ก็ยิ่งจะเพิ่มมากขึ้น เมื่อรู้ว่าการฟังพระธรรมมีประโยชน์ ก็ไม่ควรละทิ้งสิ่งที่เป็นประโยชน์แล้วไปหาสิ่งที่ไม่มีประโยชน์
~ เริ่มรู้ว่า ความไม่รู้มากแค่ไหน ความเป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็มากแค่นั้น แล้วจะมาละง่ายๆ จะให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย นอกจากความรู้เพิ่มขึ้นอีกนิดหนึ่ง ค่อยๆ ละความไม่รู้และอกุศลอื่นๆ ทีละเล็กทีละน้อย น้อยมาก จึงต้องตั้งต้นแล้วตั้งต้นอีกๆ ก็คือ เพิ่มความเข้าใจอีกทีละน้อยๆ
~
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมไว้มาก เพื่อชำระล้างความไม่รู้ที่หนาเหนียวแน่นมากในทุกสิ่งทุกอย่าง จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ปรุงแต่งให้ละความเป็นเรา จึงสามารถที่จะระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่เราแล้วเริ่มรู้ความจริงของสิ่งนั้น
~
ถ้าท่านผู้ใดรังเกียจกิเลส แม้ว่าจะเล็กน้อยนิดหน่อยสักเท่าไหร่ ถ้ากิเลสใหญ่ๆ ท่านก็ยิ่งต้องรังเกียจและละเว้นมาก เพราะฉะนั้น การขัดเกลาจิตใจก็จะต้องเห็นคุณของการที่ละเว้นกิเลสทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นประเภทเบา ประเภทหนักประการใด ยิ่งมีการอบรมเจริญเห็นโทษของกิเลส รังเกียจกิเลสมาก ผู้ใดเว้นโทษเล็กๆ น้อยๆ ได้ ก็ไม่มีคำที่จะต้องกล่าวว่า ผู้นั้นจะต้องเว้นสิ่งที่หนัก มีโทษมาก
~
การกระทำทุจริตกรรม ย่อมทำให้จิตใจเดือดร้อนกระวนกระวาย มีความหวั่นกลัวผลของอกุศลกรรมซึ่งจะติดตามมาในภายหลัง และในขณะที่ได้รับความทุกข์เดือดร้อนอันเป็นผลมาจากการกระทำอกุศลกรรมนั้น ขณะนั้นย่อมไม่ทำให้เกิดโสมนัสเลย มีแต่โทมนัสโดยส่วนเดียว
~ แต่ละท่านก็ลองพิจารณาตนเอง จะคิด จะพูด จะทำ จะชอบจะไม่ชอบสิ่งหนึ่ง สิ่งใด ไม่เฉพาะชาตินี้ ชาติเดียว แต่ว่าต้องเคยคิด เคยทำ เคยพูด เคยชอบ เคยไม่ชอบอย่างนั้นๆ มาแล้วในอดีต จนกระทั่งเป็นปัจจัยทำให้เกิดคิด พูด หรือ ทำให้ขณะนี้เป็นอย่างนี้ ไม่ว่าจะด้วยกุศลจิต หรือ อกุศลจิตประเภทใดๆ ก็ตาม
~
ทุกคนเป็นไปตามกรรมจริงๆ สุดปัญญาที่ใครจะไปยับยั้งได้ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยากให้ใครถูกเผา แต่เมื่อกรรมของเขาเป็นเหตุ เขาก็ต้องได้รับผลของกรรมนั้น อาจจะเป็นเรา อาจจะเป็นเขา อาจจะเป็นใครวันหนึ่งวันใด ก็เหมือนกัน นี่เป็นเหตุทำให้เราหวั่นเกรงภัยในอกุศลกรรมและเห็นโทษของอกุศลกรรม
~ กำลังโกรธ ก็ทำดีไม่ได้แล้วในขณะนั้น นี้คือ ความเป็นจริงของอกุศลที่กลุ้มรุมจิต กางกั้นไม่ให้ความดีเกิดขึ้น
~
ธรรมเกิดแล้วดับไป แล้วเราจะอยู่ที่ไหน ไม่มีเราเลย มีแต่ธรรมเท่านั้น ธรรม แม้จะไม่เรียกชื่อ ก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ฟังในสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เพื่อเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง
~
ถ้าสามารถจะรู้ตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างเกิดได้จริงๆ ต่อเมื่อมีเหตุปัจจัยที่สมควรที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น และถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้แล้ว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นปรากฏเล็กน้อยแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของจริงๆ อะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ทุกคนไม่อยากจะมีความทุกข์ แต่เลือกไม่ได้
~
เป็นของที่แน่นอนที่สุด คือ เรื่องของกรรม ถ้าใครทำกุศลกรรม คนอื่นจะไปขอร้องไม่ให้กุศลกรรมให้ผล ก็เป็นไปไม่ได้ หรือว่าถ้าใครทำอกุศลกรรม ใครจะไปช่วยกันอ้อนวอนขอร้องอย่าให้บุคคลนั้นได้รับผลของอกุศลกรรม ก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน
~
ต้องเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะสามารถละความเห็นว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ ต้องตรงต่อความเป็นจริงด้วยความละเอียด ไม่คิดเอง แต่ต้องตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ นี่เป็นเหตุที่ทุกคนที่ไม่เคารพพระธรรม เข้าใจธรรมผิด เพราะคิดเอง
~
ถ้าเราเข้าใจความหมายของเมตตาง่ายๆ คือ ความเป็นเพื่อน ซึ่งความเป็นเพื่อนก็หมายความว่าเป็นผู้ที่หวังดี พร้อมที่จะเกื้อกูล ไม่หวังร้าย ถ้าใครเป็นเพื่อนใครแล้วหวังร้าย พูดร้าย คิดร้าย ทำร้าย นั่นคือ ไมใช่เพื่อน แต่ถ้าเป็นเพื่อนจริงๆ จะไม่มีความรู้สึกอย่างนั้น แม้ข้อความในพระไตรปิฎก ท่านก็กล่าวว่าไม่แข่งดี เพราะฉะนั้น ถ้าใครเกิดคิดแข่งดีเมื่อไหร่กับใคร รู้ตัวเองว่าไม่ได้เป็นเพื่อนกับคนนั้น
~
การศึกษาธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ให้ทราบว่าประโยชน์จริงๆ ที่ได้รับจากการเข้าใจธรรม คือ การขัดเกลากิเลส จะมีการละ การคลาย แต่ไม่ใช่โดยรวดเร็วหรือว่าไม่ใช่ด้วยความเป็นเราที่อยากจะหมดกิเลส
~
ผู้ที่ทำผิด ก็ต้องมี ใช่ไหม เพราะมีกิเลสอยู่ ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิต หรือ คฤหัสถ์ แต่จะรู้ตัวหรือเปล่า ถ้าเป็นผู้ที่รู้ตัวก็ยังสามารถที่จะเห็นโทษของสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว แล้วก็พิจารณาว่าไม่ควรจะกระทำสิ่งนั้นต่อไป แต่ว่าถ้าไม่มีการเห็นโทษเลย ก็ก้าวล่วงบ่อยๆ ก็เป็นเรื่องที่ไม่เจริญแน่ ถ้าเป็นอย่างนั้น



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๑๖


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...



ความคิดเห็น 1    โดย swanjariya  วันที่ 18 มิ.ย. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 2    โดย ปาริชาตะ  วันที่ 18 มิ.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย jaturong  วันที่ 18 มิ.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย petsin.90  วันที่ 18 มิ.ย. 2566

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย panasda  วันที่ 18 มิ.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย shsso2551  วันที่ 18 มิ.ย. 2566

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย มังกรทอง  วันที่ 19 มิ.ย. 2566

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 8    โดย tim7755tim  วันที่ 19 มิ.ย. 2566

ขอนอบน้อมกราบแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์และกัลยาณมิตทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย Lai  วันที่ 19 มิ.ย. 2566

อนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย JSung  วันที่ 20 มิ.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย มังกรทอง  วันที่ 30 ส.ค. 2566

ธรรมมีมนัสพร้อม รับฟัง อันเกิดกุศลดัง ธาตุรู้ จิตเจตสิกเป็นพลัง เสริมส่ง หนุนแฮ กราบอาจารย์สุจินต์ผู้ เปี่ยมด้วยเมตตา