ผู้ที่เป็นพระโสดาบันจะละคลายความเป็นตัวตนได้ ถ้าละคลายความเป็นตัวตนได้ ทำไมจึงยังมีโลภะ โทสะ โมหะอยู่ หรือว่าคนละส่วนกัน ดิฉันเข้าใจว่าคนที่มีโลภะ โทสะ โมหะ แสดงว่ายังมีตัวตนอยู่ใช่หรือไม่ค่ะ สับสนจัง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระโสดาบันบุคคล เป็นพระอริยบุคคลขั้นต้น ที่ประจักษ์แจ้งพระนิพพานเป็นครั้งแรก สามารถดับกิเลสได้เป็นบางประเภท คือ ละความเห็นผิดได้ทั้งหมด ละความลังเลสงสัยในสภาพธรรม ละความตระหนี่ ละความริษยา ไม่มีความลำเอียง และเป็นผู้ปิดประตูอบายได้สนิท ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิอีกต่อไป อีกทั้งเป็นผู้ที่มีความมั่นคงในพระรัตนตรัย และมีศีล ๕ ที่บริสุทธิ์ ในความเป็นจริงแล้ว พระโสดาบัน ไม่มีความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล แต่เนื่องจากว่า พระโสดาบัน ไม่ใช่พระอรหันต์ จึงยังเป็นผู้ที่มีกิเลสจริง ยังมีโลภะ ยังมีโทสะ และยังมีโมหะ (อวิชชา) แต่โลภะ โทสะ และโมหะ ที่ท่านยังมีนั้น ไม่เป็นไปเพื่ออบายภูมิ เพราะท่านละโลภะ โทสะ โมหะที่เป็นเหตุให้ไปสู่อบายภูมิได้ทั้งหมด ดังนั้น ปุถุชนกับพระอริยบุคคลจึงมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 11239 ความคิดเห็นที่ 4 โดย oom
ผู้ที่เป็นพระโสดาบันจะละคลายความเป็นตัวตนได้ ถ้าละคลายความเป็นตัวตนได้ ทำไมจึงยังมีโลภะ โทสะ โมหะอยู่ หรือว่าคนละส่วนกัน ดิฉันเข้าใจว่าคนที่มีโลภะ โทสะ โมหะ แสดงว่ายังมีตัวตนอยู่ใช่หรือไม่ค่ะ สับสนจัง
ความเป็นเรา เป็นตัวตน มี 3 อย่างคือ เป็นเราด้วยตัณหา (โลภะ) เป็นเราเป็นตัวตน ด้วยมานะ เป็นเราเป็นตัวตนด้วยทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ดังนั้นแม้สามารถจะดับความเห็น ผิดว่าเป็นสัตว์บุคคลตัวตน ละความยึดถือว่าเป็นเราได้แล้ว แต่ยังมีกิเลสที่เป็นโลภะ ประเภทอื่นๆ แต่ไม่ได้มีความเห็นผิดว่าเป็นเราแล้วครับ แต่ยังมีความเป็นเราด้วยโลภะ และมานะอยู่ครับ กิเลสมีมากถึงมีพระอริยบุคคลหลายลำดับขั้นเพื่อดับกิเลสที่มีมาก ดังนั้น จึงต้องแยกว่าความมีตัวตนนั้นมีด้วย ตัณหา มานะและทิฏฐิ ซึ่งพระโสดาบันละ- ความเห็นผิดจึงไม่มีตัวตนด้วยทิฏฐิแต่มีความเป็นเราด้วยกิเลสประการต่างๆ ด้วย โลภะ และมานะครับ
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณมากค่ะ ที่ให้ความรู้ ความเข้าใจได้อย่างชัดเจน
อนุโมทนาสาธุในธรรมอันท่านกล่าวไว้ดีแล้ว
ขออนุโมทนาครับ
พระโสดาบันละสักกายะทิฏฐิได้เป็นสมุทเฉจ จึงไม่มีความเห็นผิดว่ามีตัวตน แต่ยังไม่สามารถละมานะเจตสิกและ โลภเจตสิกได้ เจตสิกทั้งสองก็ทำหน้าที่ตามสภาพธรรมนั้นๆ คือ ยังมีลักษณะความติดข้องในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอยู่และยังมีลัษณะความถือตัว ถือตนปรากฏอยู่เพราะมานะทำหน้าที่นั่นเอง ซึ่ง ดูเหมือน ยังมีความเป็นตัวตนอยู่ แม้แต่สกิทาคามีและอนาคามีก็ยังคงมีเช่นกัน เพราะยังละเจตสิก ทั้งสองคือโลภะและมานะ ยังไม่ได้นั่นเอง ก็เหมือนกับสภาพธรรมอื่นๆ เช่น สัญญา ก็ทำหน้าที่ จำ ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย จักขุวิญญาณก็ทำหน้า ที่ เห็น ไม่ทำอย่างอื่นเลย เป็นต้น
ดังนั้นพระโสดาบันก็ยังคงต้องมีลักษณะติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ด้วย โลภะเกิดขึ้นทำหน้าที่ติดข้อง และยังคงมีความถือตัวถือตนเพราะยังไม่ ดับมานะเจตสิกเป็นสมุทเฉจ ครับ โลภะคือความติดข้อง ไม่ใช่ความเป็นตัวตน มานะคือความถือตัวถือตน ไม่ใช่ความเป็นตัวตน สภาพความติดข้องของโลภะและสภาพความถือตัวตนของมานะ จึงดูเสมือนว่ายังเป็นตัวตนอยู่นั่นเอง แต่ไม่ใช่ยังมีความเป็นตัวตน ครับ เพราะความเป็นตัวตนคือ ทิฏฐิเจตสิก ซึ่งพระโสดาบันละได้เป็นสมุทเฉจ
ธรรมะของพระพุทธเจ้าช่างมีความละเอียดลึกซึ้งจริงๆ ถ้าไม่ได้มาศึกษา ฟังธรรม และ อ่านข้อความจากบ้านธัมมะ ก็คงยังไม่เข้าใจ ต้องขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ ความรู้ความเข้าใจ ที่เป็นประโยชน์ต่อดิฉันและคนอื่นๆ อย่างมาก
ขออนุโมทนาค่ะ