ถามเรื่อง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน ครับ
โดย waratwaron  3 ส.ค. 2554
หัวข้อหมายเลข 18857

มีการแบ่งยังไงครับ

ขอบพระคุณครับ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 3 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน ไม่มีในพระไตรปิฎกในเรื่องการแบ่งภพภูมิแบบนี้ครับ และไม่ใช่คำ

สอนของพระพุทธเจ้าครับ ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แบ่งเป็น 31 ภพภูมิ คือ


กามภูมิ 11 คือ สวรรค์ 6 ชั้น มนุษย์ 1 อบายภูมิ 4

สวรรค์ 6 ชั้นคือ จาตุมมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิสสวัตตี

อบายภูมิ 4 ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์ดิรัจฉาน

รูปภูมิ 16 ได้แก่ พรหมปาริสัชชา พรหมปุโรหิตา มหาพรหมา ปริตตาภาพรหม

อัปปมาณาพรหม อาภัสสราพรหม ปริตตสุภาพรหม อัปปมาณสุภาพรหม

สุภกิณหาพรหม เวหัปผลาพรหม อสัญญสัตตาพรหม อวิหา อตัปปา สุทัสสา

สุทัสสี อกนิฏฐา

อรูปภูมิ 4 ได้แก่ อากาสานัญจายตนภูมิ วิญญาณัญจายตนภูมิ อากิญจัญญายตน-

ภูมิ และ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ


ความคิดเห็น 2    โดย khampan.a  วันที่ 3 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ที่เกิดของหมู่สัตว์ ย่อมไม่พ้นไปจาก ๓๑ ภพภูมิ ซึ่งจำแนกเป็น อบายภูมิ ๔มนุสสภูมิ (ภูมิมนุษย์) ๑ สวรรค์ ๖ ชั้น รูปพรหมภูมิ ๑๖ ชั้น และ อรูปพรหมภูมิ๔ ชั้น ขึ้นอยู่กับว่า กรรมใดจะให้ผลทำให้เกิดในภพภูมิใด เป็นไปตามเหตุปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

ตามความเป็นจริงแล้ว ขณะนี้ทุกคนที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ นับว่าเป็นผู้ยังปลอดภัยกว่าการเกิดในอบายภูมิ เพราะเหตุว่าในขณะที่เป็นมนุษย์ ยังมีโอกาสได้เจริญกุศล และ ยังมีโอกาสที่กุศลกรรมจะให้ผลได้ตามสมควรแก่เหตุ, แต่กาลข้างหน้า ซึ่งอาจจะช้าหรือเร็วเพียงใดไม่มีใครทราบได้ที่จะต้องเปลี่ยนสภาพจากความเป็นบุคคลนี้ไป นั่นก็คือ ตายจากโลกนี้ นั่นเอง เพราะฉะนั้น จึงควรที่จะได้ขวนขวายในการเจริญกุศลประการตางๆ จริงๆ เพราะเหตุว่าถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมทำให้ไปเกิดในอบายภูมิแล้ว นั่นหมายความว่าย่อมจะขาดการเจริญกุศลอย่างที่มนุษย์จะกระทำได้ เป็นความจริงที่ว่า สำหรับผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ เวลาที่สิ้นชีวิตลง ละจากโลกนี้ไปแล้วไปสู่อบายภูมิได้ทั้ง ๔ คือ จะเกิดเป็นสัตว์นรกก็ได้ เกิดเป็นเปรตก็ได้ เกิดเป็นอสุรกายก็ได้ เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานก็ได้ ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม, และก็สามารถไปสู่สุคติภูมิได้ทั้ง ๗ ภูมิ (คือ มนุษย์ภูมิ และ สวรรค์ ๖ ชั้น) แล้วแต่ว่าจะเป็นผลของกุศลกรรมประเภทใด และถ้าเป็นผู้ได้อบรมความสงบของจิตจนถึงขั้นรูปฌาน เมื่อฌานไม่เสื่อม ก็สามารถไปเกิดเป็นรูปพรหมบุคคลได้ ถ้าเป็นผู้อบรมเจริญความสงบของจิตจนถึงขั้นอรูปฌาน เมื่อฌานไม่เสื่อมก็สามารถไปเกิดในภูมิที่ไม่มีรูปเลย มีแต่นามธรรมเท่านั้นได้ (คือ เกิดเป็นอรูปพรหมบุคคล) และประการที่สำคัญที่สุด คือ ถ้ามีการอบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่จะสามารถดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว ดับขันธปรินิพพาน ก็ไม่มีการเกิดอีกเลยไม่ว่าจะเป็นในที่ไหนทั้งสิ้น [เหมือนอย่างพระอรหันต์ทั้งหลายในอดีต แต่ยุคนี้สมัยนี้ไม่มีพระอรหันต์แล้ว]เพราะฉะนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและกรรมของแต่ละบุคคล เพราะเหตุว่าถ้ายังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ก็ยังจะเกิดในอบายภูมิได้ เมื่อเป็นผลของอกุศลกรรม เพราะฉะนั้น ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่ควรที่จะประมาทในชีวิต ควรอย่างยิ่งที่จะได้เจริญกุศลประการต่างๆ สะสมแต่สิ่งที่ดีงามในชีวิตประจำวัน พร้อมทั้งฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ด้วย ถ้าละเลยในสิ่งเหล่านี้ เป็นผู้ประมาทมัวเมาประกอบแต่อกุศลกรรม เมื่ออกุศลกรรมให้ผล ทำให้ไปเกิดในอบายภูมิแล้ว เมื่อนั้น ก็ไม่สามารถจะโทษใครได้เลย เพราะตนเองเป็นผู้กระทำกรรมไม่ดีเอง ผลที่ไม่ดีก็ย่อมเกิดกับตนเองเท่านั้น ใครๆ ก็ช่วยไม่ได้. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 3    โดย wannee.s  วันที่ 4 ส.ค. 2554

ในสังสารวัฏฏ์ที่แสนยาว ทุกคนก็เคยเกิดในสวรรค์ ในอบายภูมิ มาแล้วนับไม่ถ้วน

แล้วแต่กรรมดี หรือ กรรมชั่ว จะให้่ผล ไปเกิดที่ดี หรือ ไม่ดี ไม่มีใครเลิือกได้

แต่ชาตินี้ได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว สามารถเลือกทำความดี และ สะสมปัญญาได้

เพราะการสะสมความดี และ สะสมปัญญา เป็นที่พึ่งในภพต่่อ ๆ ไป จนกว่าจะ

หมดกิเลส ไม่เกิดอีกเลยค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย waratwaron  วันที่ 5 ส.ค. 2554

อนุโมทนาทุกๆ ท่านครับ


ความคิดเห็น 5    โดย นิคม  วันที่ 30 ม.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ