[เล่มที่ 57] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 510
๗. ปาทัญชลิชาดก
ว่าด้วยปาทัญชลีราชกุมาร
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 57]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 510
๗. ปาทัญชลิชาดก
ว่าด้วยปาทัญชลีราชกุมาร
[๓๔๔] ปาทัญชลีราชกุมาร ย่อมรุ่งเรืองกว่าเรา ทั้งหมดด้วยพระปรีชาแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมจึงทรงเม้มพระโอฐอยู่เล่า จะทรงเห็นเหตุอย่างอื่นยิ่งกว่านี้เป็นแน่.
[๓๔๕] ปาทัญชลีราชกุมารพระองค์นี้ จะทรงทราบส่งที่เป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม ส่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ ก็หาไม่ ปาทัญชลีราชกุมารพระองค์นี้ นอกจากจะเม้มพระโอฐแล้ว ย่อมไม่ทรงทราบเหตุการณ์สักนิดหนึ่งเลย.
จบ ปาทัญชลีชาดกที่ ๗
อรรถกถาปาทัญชลิชาดกที่ ๗
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระโลฬุทายีเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อทฺธา ปาทญฺชลี สพฺเพ ดังนี้.
ในวันหนึ่ง พระมหาสาวกทั้งสองวินิจฉัยปัญหาอยู่. ภิกษุทั้งหลายฟังปัญหาต่างก็สรรเสริญพระเถระทั้งสอง. พระโลฬุ-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 511
ทายีเถระนั่งอยู่ในระหว่างบริษัท ขัดคอขึ้นว่า พระมหาสาวกเหล่านี้จะรู้อะไรทัดเทียมเราหรือ. พระเถระทั้งสองเห็นพระโลฬุทายีเถระนั้นแล้ว จึงลุกจากอาสนะหลีกไป. บริษัทเลยแยกย้ายกัน. ภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากันในโรงธรรมว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย พระโลฬุทายีติเตียนพระอัครสาวกทั้งสอง แล้วขัดคอขึ้น. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายมิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนโลฬุทายีก็ไม่รู้อะไรๆ อย่างอื่นยิ่งกว่านั้น นอกจากขัดคอแล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นอำมาตย์ผู้สอนอรรถและธรรมของพระองค์. ก็พระราชานั้นมีโอรสพระนามว่า ปาทัญชลี มีพระทัยโลเล เชื่องช้า. ต่อมาพระราชาสวรรคต. พวกอำมาตย์จัดการถวายพระเพลิง แล้วปรึกษากันว่าจักอภิเษกปาทัญชลี ราชบุตรครองราชสมบัติ. แต่พระโพธิสัตว์กล่าวว่า พระกุมารนี้มีพระทัยโลเล เชื่องช้า พวกเราจักควรทูลองดูก่อน แล้วจึงจักอภิเษกพระกุมารนั้น. พวกอำมาตย์จึงเตรียมการตัดสินความ ให้พระกุมารประทับนั่งในที่ใกล้ๆ เมื่อจะตัดสินคดี แกล้งตัดสินไม่ถูก. ตัดสินให้ผู้มีใช่เจ้าของเป็นเจ้าของแล้วทูลพระกุมารว่า ข้าแต่พระกุมาร พวกข้าพระองค์ตัดสินความชอบธรรมหรือไฉน. พระกุมารเม้มพระโอฐ. พระโพธิสัตว์สำคัญว่า พระกุมารเห็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 512
จะทรงเฉลียวฉลาด คงจักทราบว่าตัดสินไม่ชอบ จึงกล่าวคาถา แรกว่า :-
ปาทัญชลีราชกุมารย่อมรุ่งเรืองกว่าเราทั้งหมด ด้วยพระปรีชาแน่นอน เมื่อเช่นนั้นทำไมจึงทรงเม้มพระโอฐอยู่เล่า จะทรงเห็นเหตุอื่นยิ่งกว่านี้เป็นแน่.
ครั้นวันอื่นพวกอำมาตย์เหล่านั้นตระเตรียมการตัดสินความแล้ว ตัดสินความอีกเรื่องหนึ่งโดยชอบธรรม แล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระกุมาร ข้าพระองค์ตัดสินความถูกต้องแล้วหรือไฉน พระกุมารทรงเม้มพระโอฐอีกเหมือนอย่างเดิม. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงทราบว่า พระกุมารนี้โง่เขลาจึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ปาทัญชลีราชกุมารพระองค์นี้ จะทรงทราบสิ่งที่เป็นธรรม หรือไม่เป็นธรรม สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ ก็หาไม่ได้ ปาทัญชลีราชกุมารพระองค์นี้ นอกจากจะเม้มพระโอฐแล้ว ย่อมไม่ทรงทราบเหตุการณ์สักนิด หนึ่งเลย.
พวกอำมาตย์รู้ว่า ปาทัญชลีราชกุมารทรงเหลวไหล จึงอภิเษกพระโพธิสัตว์ขึ้นครองราชสมบัติ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 513
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก. ปาทัญชลีราชกุมารในครั้งนั้น ได้เป็นพระโลฬุทายีในครั้งนี้ ส่วนอำมาตย์บัณฑิต คือเราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาปาทัญชลิชาดกที่ ๗