ได้ฟังผู้ว่าง่ายและผู้ว่ายากแล้วพิจารณาตัวเองก็ยังเป็นผู้ว่ายากอยู่เพราะว่าอกุศลที่เกิดขึ้นก็ดี ... วันหนึ่งๆ ก็มากมาย แล้วก็ยึดถืออกุศลที่เกิดขึ้นว่าเป็นอกุศลของเรา แม้กุศลที่เกิดขึ้นก็ยึดถือว่าเป็นกุศลของเราเพราะฉะนั้น ก็มีแต่ตัวเราที่ยึดถือในสิ่งที่ปรากฏขึ้น ทั้งๆ ที่ได้ฟังพระธรรมแล้วว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน แต่ก็ยังมีความยึดถือ ... ก็ยังเป็นผู้ว่ายากอยู่
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า พระองค์ไม่ทรงทะเลาะกับชาวโลก พระองค์ตรัสว่าไม่เที่ยง แต่ชาวโลกก็พูดว่าเที่ยงพระองค์ตรัสว่าเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่งาม แต่ชาวโลกก็บอกว่างาม ... ก็ยังเป็นผู้ที่ทะเลาะกับพระพุทธเจ้า แต่พระองค์ทรงแสดงความจริงให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจ เพราะฉะนั้น กว่าจะเป็นผู้ว่าง่ายคืออย่างไร!! ขณะนี้แม้ฟังพระธรรมพิจารณาแล้วตนเองก็ยังเป็นผู้ว่ายากอยู่
ไม่เป็นใครแต่เป็นปัญญาเท่านั้น!! ที่จะรู้ว่าอะไรถูกและเห็นโทษ และปัญญานั้นค่อยๆ รู้ว่าควรละ ถ้าไม่มีความเข้าใจ ... ไม่มีทางละ
ปัญญาน้อยมาก เพราะฉะนั้น จะว่าง่ายไม่ได้เลยถ้าไม่มีปัญญา
เป็นคำตอบที่ตรงและชัดเจนมากที่สุดเพราะแทบจะไม่มีปัญญาเลยอะไรปรากฏก็ยึดถือเป็นเราไปหมด
เพราะฉะนั้น ปัญญาตรง ... มีความเข้าใจระดับไหน ... แค่ไหน!!! นั่นคือว่าง่ายแล้วที่จะเป็นคนตรง!!! ตามลำดับของปัญญา
บางครั้งเวลาเกิดอกุศลรู้ว่าตัวเองไม่ดีแต่ก็ยังยึด ... คิดว่าตัวตนเองไม่ดีอยู่เหมือนลูกศรลูกที่สองที่ปักเราให้ทุกข์มากขึ้น เพราะฉะนั้น ปัญญาที่จะค่อยๆ คลายลูกศรดอกที่สองคืออย่างไร!!
เข้าใจทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น ... หนทางเดียว ไม่ใช่ไปตระเตรียมให้ใครทำอย่างนั้นอย่างนี้ ให้รู้ว่าแต่ละคนฟังแล้วมีความเข้าใจในความจริงระดับไหน!! ระดับที่แม้ขณะนั้นเป็นธรรมะก็ยังไม่รู้ แต่ว่ายังระลึกถึงคำของพระพุทธเจ้า ... ก็ต่างกับคนที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังและไม่ระลึกเลย ... แล้วจะหาทางไหนล่ะ ... จะเอาอะไรมาทำให้สามารถที่จะรู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ว่าง่ายนี่ก็คือปัญญาแน่นอน!!!
ทุกคำของพระพุทธเจ้ากล่าวถึงธรรมะที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง "ธรรมะทั้งปวงเป็นอนัตตา" แต่เห็นทีไรก็เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ธาตุรู้เกิดขึ้นรู้ไม่ใช่สิ่งที่ถูกรู้แค่นี้กว่าจะเจอ ... กว่าจะพบ ... กว่าจะรู้จัก ... กว่าจะคุ้นเคยจนสามารถที่เมื่อไหร่ก็สามารถละลึกได้เข้าใจได้ในความที่คุ้นเคยกับสิ่งนั้นมากจนรู้ว่านั่นคือธาตุรู้
คนในครั้งโน้นเพราะมีความเข้าใจความลึกซึ้งจึงไม่หวั่นไหวว่าจะรู้ความจริงเมื่อไหร่อีก 100,000 กัปป์ 4อสงไขย 100,000 กัปป์ 20 อสงไขย 100,000 กัปป์ มากกว่านั้นก็แล้วแต่ปัญญาซึ่งค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ถ้าไม่มีการระลึกถึงเลย ไม่มีการฟังแล้วฟังอีก แล้วจะระลึกได้เมื่อไหร่!!! ก็เป็นเราว่าง่ายว่ายากกับความเป็นจริงที่พระองค์ทรงตรัส
เห็นถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าจริงๆ แล้วต้องกราบเท้าท่านอาจารย์ เห็นถึงพระคุณของท่านอาจารย์ที่ได้นำคำของพระองค์มากล่าว มาแสดง มาเปิดเผยให้ผู้ฟังมีความเข้าใจถูกและตรงตามที่พระองค์ทรงแสดง เป็นพระคุณที่ชาตินี้ลืมไม่ได้จริงๆ ... กราบเท้าท่านอาจารย์
เพราะฉะนั้น คุณคือขณะที่เข้าใจ!!!เพราะความเข้าใจจึงรู้คุณ!!! เมื่อรู้คุณก็เป็นผู้ที่มีคุณที่ได้รู้ได้เข้าใจถูกต้องในคุณ ... จึงไม่ใช่ผู้เนรคุณ!!!เพราะมีคุณคือความเข้าใจคำที่ได้ฟังถูกต้อง ... จึงรู้คุณอย่างยิ่งของพระองค์
อาจารย์อรรณพ กล่าวว่า ฟังแล้วก็ยินดีในคุณของท่านอาจารย์และอาจารย์ทุกท่านที่มีคุณรู้คุณเพิ่มขึ้น ยินดีเพราะไม่มีคน ... ไม่มีใคร ถ้ามีโอกาสได้ฟังคำของพระพุทธเจ้าแล้วเริ่มจะมีคุณ แล้วจะรู้คุณ มีคุณรู้คุณจนกระทั่งมีคุณจริงๆ ได้รู้คุณจริงๆ ความรู้ก็เพิ่มๆ ขึ้นไป
เชิญคลิกชมสนทนาปัญหาธรรม 15 ส.ค. 66
https://www.Youtube.com/live/5ZOjalAFSJU?feature=share
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาอ.ณภัทร สำหรับคำถามค่ะ
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
และยินดีในความดีของคุณณัฐวรรณ ด้วยค่ะ
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
ยินดีในกุศลจิตค่ะ