การหัวเราะก็เหมือนกัน เมื่อหัวเราะได้ การร้องไห้เรียกว่าธรรมสังเวชทำไมจะมีไม่ได้มันอยู่ในขันธ์ ขันธ์อันนี้ทำงานโดยสมบูรณ์ตลอดเวลาไม่มีอะไรบกพร่อง ตรัสรู้ธรรมไม่ได้สังหารธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์มียังไง โลกมีอยู่ยังไง มันก็มีแบบเดียวกันกับโลก ต่างกันแต่จิตที่บริสุทธิ์แล้วเท่านั้น พากันเข้าใจเสีย "เรื่องธาตุเรื่องขันธ์อะไรมีสมบูรณ์แบบเหมือนเดิม เคยอยู่เคยกินเคยหลับเคยนอนต้องเป็นต้องไป เป็นแต่เพียงว่าจิตไม่เข้าไปยึด เป็นหลักธรรมชาติอันหนึ่งของจิต อันนี้เป็นเรื่องของขันธ์ต่างหาก
เพราะฉะนั้น พระอรหันต์กับพวกเรา จึงไม่มีอะไรผิดแปลกจากกันในกิริยาอาการที่แสดงออก เป็นแต่เพียงภายในนั้นเป็นคนละฝั่งแล้ว ท่านรู้ของท่านเองอันนั้น ให้พากันเข้าใจ"
จากข้อความที่ยกมา พระอรหันต์ยังหัวเราะยังร้องไห้ มีอาการเหมือนปุถุชน แตกต่างกันที่มีจิตบริสุทธิ์ การหัวเราะการร้องไห้ เป็นแค่กิริยาจิตอย่างนั้นหรือ เขาบอกว่าเป็นธรรมสังเวช คำๆ นี้หมายรวมถึงการหัวเราะร้องไห้ด้วยหรือ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
หสนจิต เป็นจิตที่ทำให้เกิดอาการหัวเราะหรือยิ้มแย้มร่าเริง มี ๑๓ ดวง คือ
โลภมูลจิตที่เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา ๔ ดวง
มหากุศลที่เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา ๔ ดวง
มหากิริยาที่เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา ๔ ดวง
และหสิตุปปาทจิตซึ่งเกิดร่วมกับโสมนัสเวทนาอีก ๑ ดวง
การยิ้มแย้มหัวเราะ มี ๖ ประเภท คือ
๑. สิตะ เป็นการยิ้มหรือแย้มไม่เห็นไรฟันของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๒. หสิตะ เป็นการยิ้มพอเห็นไรฟันของพระอรหันตสาวก พระอนาคามี พระสหทาคามี พระโสดาบัน และปุถุชน
๓.วิหสิตะ เป็นการหัวเราะมีเสียงเบาๆ เกิดกับพระอริยบุคคลเบื้องต้น ๓ และปุถุชน
๔.อติหสิตะ เป็นการหัวเราะมีเสียงดัง เกิดกับพระสกทาคามี พระโสดา บัน และปุถุชน
๕.อุปหสิตะ เป็นการหัวเราะจนกายไหว เกิดกับปุถุชนเท่านั้น
๖.อวหสิตะ เป็นการหัวจนน้ำตาไหล เกิดกับปุถุชนเท่านั้น
พระอรหันต์ แย้มยิ้มด้วยจิต ๕ ดวง คือ ...
โสมนัสมหากิริยาจิต ๔ ดวง
และ หสิตุปปาทจิต ๑ ดวง
พระอริยบุคคลเบื้องต้น ๓ ยิ้มหัวเราะด้วยจิต ๖ ดวง คือ
โสมนัสโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปปยุตต์ ๒ ดวง
โสมนัสมหากุศลจิต ๔ ดวง
ปุถุชน ยิ้มและหัวเราะด้วยจิต ๘ ดวง คือ
โสมนัสโลภมูลจิต ๔ ดวง
และ โสมนัสมหากุศลจิต ๔ ดวง
หสิตุปบาท คือ จิตที่ทำให้เกิดการยิ้มแย้มของพระอรหันต์ หมายถึง อเหตุกกิริยาจิต ที่เป็นมโนวิญญาณธาตุทำกิจชวนะ ซึ่งเป็นจิตที่ทำให้พระอรหันต์เกิดอาการแย้มยิ้ม เมื่อได้รับอารมณ์ เช่น เมื่อเห็นสถานที่น่ารื่นรมย์ ควรแก่การหลีกเร้น หรือเมื่อได้ยินเสียงของผู้ที่กล่าวผรุสวาจาต่อกัน พระอรหันต์ก็เกิดอาการแย้มยิ้ม เพราะทราบว่าตนพ้นจากเหตุที่ทำให้ไปสู่อบายแล้ว หรือ เห็นเปรตก็เกิดอาการยิ้มแย้ม เพราะรู้ว่าตัวท่านพ้นจากอบายแล้วครับ
หสิตุปาทจิตของพระอรหันต์ที่ยิ้มแย้ม จะไม่ถึงกับการหัวเราะแบบปุถุชนครับ เพียงยิ้มแย้มเห็นฟันเล็กน้อยเท่านั้นครับ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 14
......ทรงกระทำความแย้มพระโอษฐ์ให้ปรากฏ ทรงแย้มพระโอษฐ์ พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ทรงพระสรวล เหมือนอย่างพวกมนุษย์ชาวโลกีย์ ย่อมตีท้องหัวเราะว่า ที่ไหน ที่ไหน ดังนี้ ส่วนการยิ้มแย้มของพระพุทธเจ้าทั้งหลายปรากฏเพียงอาการยินดีร่าเริงเท่านั้น. อนึ่ง การหัวเราะนั้น มีได้ด้วยจิตที่เกิดพร้อมด้วยโสมนัส ๑๓ ดวง. ในบรรดาจิตเหล่านั้น มหาชนชาวโลกย่อมหัวเราะด้วยจิต ๘ ดวง คือ โดยอกุศลจิต ๔ ดวง โดยกามาวจรกุศลจิต ๔ ดวง พระเสกขบุคคลย่อมหัวเราะด้วยจิต ๖ ดวง นำจิตที่สัมปยุตด้วยทิฏฐิฝ่ายอกุศลออก ๒ ดวง พระขีณาสพย่อมยิ้มแย้มด้วยจิต ๕ ดวง คือ ด้วยกิริยาจิตที่เป็นสเหตุกะ ๔ ดวง ด้วยกิริยาจิตที่เป็นอเหตุกะ ๑ ดวง แม้ในจิตเหล่านั้นเมื่ออารมณ์มีกำลังมาปรากฏ ย่อมยิ้มแย้มด้วยจิตที่สัมปยุตด้วยญาณ ๒ ดวง เมื่ออารมณ์ทุรพลมาปรากฏ ย่อมยิ้มแย้มด้วยจิต ๓ ดวง คือ ด้วยทุเหตุกจิต ๒ ดวง ด้วยอเหตุกะ ๑ ดวง
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระอรหันต์ คือ ผู้ที่ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ไม่มีความหวั่นไหวโดยประการทั้งปวง เหตุที่ท่านไม่มีการหัวเราะเสียงดัง หรือยิ้มอ้าปากกว้างเหมือนปุถุชน เพราะท่านละกิเลสได้หมดแล้ว เมื่อพระอรหันต์ท่านดีใจ เพียงแย้มเห็นไรฟันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์สามารถแย้มยิ้มได้ด้วยจิตหลายประเภท กล่าวคือด้วยโลภมูลจิตที่ประกอบด้วยโสมนัสเวทนา ก็ได้ และ มหากุศลที่ประกอบด้วยโสมนัสเวทนา ก็ได้ ความเป็นจริงของธรรม เป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งจะมีความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงได้ ก็ต้องได้อาศัยคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ