เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ดิฉัน ขอถามท่านผู้รู้ว่า "ฝนเกิดจากการดลบัลดาลของเทวดาจริงหรือ" (ดิฉันรู้ว่าฝนตกอย่างไรในทางวิทยาศาสตร์เท่านั้นค่ะ)
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ฝนเกิดขึ้นจากเหตุหลายประการ
1. เกิดจากอุตุ ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ
2. เกิดจากผู้มีฤทธิ์ (เช่น พระภิกษุชื่อมหกะ บันดาลฝน)
3. เกิดจากผลของบุญ (เช่น เกิดจากผลของบุญของพระพุทธเจ้าเมื่อคราวเสด็จไปเมืองเวสาลี แล้วฝนโบกขรพรรษตกลงมาเพราะบุญที่พระองค์เคยทำในชาติก่อนคือ ปะพรมน้ำบูชาเจดีย์พระปัจเจกพระพุทธเจ้า)
4. เกิดจากเทวดา ([เล่มที่ 27] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ ๕๘๘)
อรรถกถาวาตวลาหกสูตรที่ ๕๖
บทว่า เทโว วสฺสติ ความว่า ฝนที่ตกตลอด ๔ เดือน ที่เป็นฤดูฝน มีอุตุเป็นสมุฏฐานทั้งนั้น. ส่วนฝนชุกที่ตกในฤดูฝน และฝนในเดือน ๕ เดือน ๖ ชื่อว่า เกิดขึ้นด้วยอานุภาพเทวดา.
วัสสวลาหกสูตร
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ พวกเทวดาชื่อว่าวัสสวลาหกมีอยู่ เมื่อใด เทวดาพวกนั้นมีความคิดอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ พวกเราพึงยินดีด้วยความยินดีของตน เมื่อนั้น ฝนย่อมมี เพราะอาศัยความตั้งใจของเทวดาพวกนั้น ดูก่อนภิกษุ ข้อนั้นแลเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้ฝนมีในบางคราว.
ในพระไตรปิฏกมีแสดงไว้ ในอดีตมีเมืองหนึ่งฝนไม่ตกตามฤดูกาล ก็เลยรักษาศีล ภายหลังฝนก็ตก ชาวเมืองก็มีความสุข ฯลฯ และตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จโปรดญาติ ฝนก็ตก ใครอยากเปียกก็เปียก ใครไม่อยากเปียกก็ไม่เปียก ด้วยอานุภาพของพระพุทธเจ้าค่ะ
ฝน เกิดจากผู้มีฤทธิ์ (เช่น พระภิกษุชื่อมหกะ บันดาลฝน) ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระมหกะเป็นผู้อ่อนกว่าทุกรูปในภิกษุสงฆ์หมู่นั้น ครั้งนั้นแล ท่านพระมหกะได้พูดกะพระเถระผู้เป็นประธานว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เป็นการดีทีเดียวที่พึงมีลมเย็นพัดมา และ พึงมีแดดอ่อน ทั้งฝนพึงโปรยลงมาทีละเม็ดๆ . พระเถระ (ผู้เป็นประธาน) กล่าวว่า ท่านมหกะ เป็นการดีทีเดียว ที่พึงมีลมเย็นพัดมาและพึงมีแดดอ่อน ทั้งฝนพึงโปรยลงมาทีละเม็ดๆ . ครั้งนั้นแล ท่านพระมหกะ ได้บันดาลอิทธาภิสังขาร ให้มีลมเย็นพัดมา และมีแดดอ่อน ทั้งให้มีฝนโปรยลงมาทีละเม็ดๆ . (ข้อความตอนหนึ่งจาก [เล่มที่ 29] มหกสูตร สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๒๙)
ขออนุโมทนาและขอบพระคุณค่ะ
ศึกษาประวัติศาสตร์ประเทศอื่น แต่ลืมที่จะศึกษาประวัติศาสตร์ประเทศไทย ศึกษาเรื่องน้ำบนฟ้า แต่ลืมศึกษาน้ำลาย น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำตา เสมหะ น้ำเหงื่อ น้ำมูก น้ำในกาย
สาธุการครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ความเป็นจริงหลายๆ อย่างอันเกิดแต่ความเป็นสัพพัญญูของพระพุทธองค์เป็นความจริงที่ไม่แปรผัน หากแต่ขณะนี้ความจริง คือสภาพธรรมกำลังปรากฏให้รู้ได้ด้วยปัญญาของตนเอง น่าสนใจไหมคะ หากสิ่งนั้นเป็นการรู้จักตนเองตามความเป็นจริง
อนุโมทนาคะ