ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สนธนาธรรม ที่เขาเต่า ๑-๔ สิงหาคม ๒๕๓๗
ท่านอาจารย์ ขณะที่มี มดไต่ตามตัว แล้วเกิด "ความรู้สึกรำคาญ"ขณะนั้น"ธาตุดิน" กำลังปรากฏ หมายความว่าขณะนั้นแม้ "ธาตุดิน" กำลัง ปรากฏ แต่เป็น "การกระทบ" ที่เบาๆ เท่านั้น แต่ขณะนั้น "ความรู้สึกรำคาญ"กำลังปรากฏ ซึ่ง เป็น "ล้กษณะ" ของ เวทนาเจตสิก ที่กำลังปรากฏ นั่นเอง
เพราะฉะนั้น ขณะนั้นจะต้องมี "รูป" แข็ง หรือ อ่อน (ธาตุดิน) เกิดขึ้น เป็น "เหตุ" ที่ทำให้ "ความรู้สึกอย่างนั้น" เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น "เหตุ" คือ การกระทบกัน ของ รูป (คือ ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม) ที่กระทบ กับ "กายปสาทรูป"
แต่ ขณะนั้น "เวทนาเจตสิก" เป็นใหญ่ ในการ "รู้สึก" ขณะนั้นเป็น "เวทนินทรีย์" และถ้า "เวทนาเจตสิก" ไม่เกิด "จิต" ก็ไม่สามารถที่จะ รู้ "ลักษณะของเวทนาเจตสิกนั้นๆ " ได้ และ "เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน" ก็ มี ไม่ได้ แต่ เป็นเพราะว่า "เวทนาเจตสิก" มีจริง และเกิด ปรากฏกับ "จิต" ในขณะนั้น ความรู้สึก ทุกขเวทนา สุขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา จึงมีได้
"สติ" สามารถที่จะ ระลึก ตรง "ลักษณะ" ของ "เวทนาเจตสิกนั้นๆ " คือ รู้ ว่า "เวทนาเจตสิกนั้นๆ " เป็น สภาพธรรม ชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนและเกิดขึ้น เพียงชั่วขณะที่สั้นแสนสั้นแล้ว ดับไปทันที
การอบรมเจริญปัญญา ที่เป็น การเจริญสติปัฏฐาน นั้น "จิต" จะต้อง รู้ อารมณ์คือ "ทำกิจ" เพียง "รู้ลักษณะของอารมณ์" เท่านั้น โดย ขณะนั้น "สติ" ทำกิจ "ระลึก ตรง ลักษณะ" และ "ปัญญา" ทำกิจ "รู้ ตรง ลักษณะ" ตามปกติ ตามความเป็นจริง ของ "สภาพธรรม" (ที่มี "ลักษณะ") ที่กำลังเป็น "อารมณ์" ของ "จิตนั้นๆ " เพราะฉะนั้น "สติ" จึงเป็นใหญ่ โดยเป็น "สตินทรีย์" และ "ปัญญา" จึงเป็นใหญ่ โดยเป็น "ปัญญินทรีย์"
... ขออนุโมทนา ...
สาธุ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ