[เล่มที่ 49] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 393
จูฬวรรคที่ ๓
๔. ภุสเปตวัตถุ
ว่าด้วยบุพกรรมของเปรตทั้ง ๔
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 49]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 393
๔. ภุสเปตวัตถุ
ว่าด้วยบุพกรรมของเปรตทั้ง ๔
พระมหาโมคคัลลานะได้ถามบุพกรรมของเปรตทั้ง ๔ ด้วยคาถานี้ ความว่า :-
[๑๑๔] ท่านทั้ง ๔ นี้ คนหนึ่งกอบเอาแกลบข้าวสาลีที่ไฟลุกโชนโปรยใส่ศีรษะของตนเอง อีกคนหนึ่งทุบศีรษะของตนด้วยค้อนเหล็ก ส่วนคนที่เป็นหญิงเอาเล็บจิกหลังกินเนื้อและเลือดของตนเอง ส่วนท่านกินคูถอันเป็นของไม่สะอาด ไม่น่าปรารถนา นี้เป็นวิบากกรรมอะไร.
ภรรยาของพ่อค้าโกงตอบว่า
เมื่อชาติก่อน ผู้นี้เป็นบุตรของดิฉัน ได้ตีศีรษะของฉันผู้เป็นมารดา ผู้นี้เป็นสามีของดิฉัน เป็นพ่อค้าโกงข้าวเปลือกปนแกลบ ผู้นี้ลูกสะใภ้ของดิฉัน ลักกินเนื้อแล้วกลับหลอกลวงด้วยมุสาวาท ดิฉันเมื่อเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในมนุษยโลก เป็นหญิงแม่เรือน เป็นใหญ่กว่าสกุลทั้งปวง เมื่อสิ่งของมีอยู่ เหล่ายาจกขอก็เก็บซ่อนเสีย ไม่ได้ให้อะไรจากของที่มีอยู่ ปกปิดไว้ด้วยมุสาวาทว่า ของนี้ไม่มีในเรือนของเรา ถ้าเราปกปิดของที่มีไว้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 394
ขอคูถจงเป็นอาหารของเรา ภัตแห่งข้าวสาลีอันมีกลิ่นหอม ย่อมกลับกลายเป็นคูถเพราะวิบากแห่งกรรม คือ มุสาวาทของดิฉัน ก็กรรมทั้งหลายไม่ไร้ผล กรรมนั้นย่อมไม่สาบสูญ เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงกินและดื่มแต่มูตรอันมีกลิ่นเหม็น มีหนอน.
จบภุสเปตวัตถุที่ ๔
อรรถกถาภุสเปตวัตถุที่ ๔
เมื่อพระศาสดา ประทับอยู่ในกรุงสาวัตถุ ทรงปรารภเปรต ๔ ตน จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ภุสานิ เอโก สาลี ปุนาปโร ดังนี้.
ได้ยินว่า ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งไม่ไกลแต่กรุงสาวัตถี มีพ่อค้าโกงคนหนึ่งเลี้ยงชีพด้วยอเนสนากรรมมีการโกงด้วยตราชั่ง เป็นต้น. เขาถือเอาฟ่อนข้าวสาลีเคล้าด้วยดินแดง ทำให้หนักกว่าเดิม ปนกับข้าวสาลีแดงแล้วขาย. บุตรของเขาโกรธว่า คุณพ่อไม่ยอมให้เกียรติยกย่องมิตรสหายของเราผู้มาสู่เรือนเสียเลย ได้ถือเอาเชือกหนัง ๒ เส้นตีศีรษะมารดา. หญิงสะใภ้ของเขาลักกินเนื้อที่เก็บไว้สำหรับชนทั้งปวงแล้ว เมื่อถูกชนเหล่านั้นซักไซร้จึงให้คำสบถว่า ถ้าเรากินเนื้อนั้นจริง ก็ขอให้เราพึง เฉือนเนื้อสันหลังของตนแล้วกินทุกๆ ภพไปเถิด. ฝ่ายภริยาของเขา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 395
เมื่อชนทั้งหลายพากันขออุปกรณ์บางอย่าง ก็ตอบว่า ไม่มี เมื่อถูกชนเหล่านั้นรบเร้า จึงได้ทำสบถด้วยมุสาวาทว่า ถ้าเรากล่าวถึงสิ่งที่มีอยู่ว่าไม่มีไซร้ ขอให้เราพึงเป็นผู้มีคูถเป็นอาหารในที่ที่เกิดแล้วเถิด.
สมัยต่อมาชนทั้ง ๔ คนนั้นทำกาละแล้ว บังเกิดเป็นเปรต ในดงไฟไหม้ ในคน ๔ คนนั้น พ่อค้าโกงใช้มือทั้งสองข้าง กอบเอาแกลบที่ลุกโพลงด้วยผลกรรมแล้ว เกลี่ยลงบนศีรษะของตนเอง เสวยทุกข์เป็นอันมาก, บุตรของเขาก็ใช้ค้อนเหล็กตีศีรษะตนเอง เสวยทุกข์ไม่ใช่น้อยเลย หญิงสะใภ้ของเขาด้วยผลกรรมจึงใช้เล็บทั้งหลายที่ทั้งกว้างและยาวยิ่งนัก คมเป็นอย่างดี กรีดเนื้อแผ่นหลังของตนเองกิน เสวยทุกข์หาประมาณมิได้. พอภริยาของเขาน้อมนำข้าวสาลีที่มีกลิ่นหอมบริสุทธิ์ดี ปราศจากด่างดำเข้าไปเท่านั้น ก็กลายสำเร็จเป็นคูถ เกลื่อนกล่นด้วยหมู่หนอนนานาชนิด มีกลิ่นเหม็นและน่าเกลียดยิ่งนัก, ภริยานั้นเอามือทั้งสองข้างกอบคูถนั้นกิน เสวยทุกข์อย่างมหันต์.
เมื่อชนทั้ง ๔ คนเหล่านั้นเกิดในหมู่เปรตเสวยทุกข์อย่างมหันต์ด้วยอาการอย่างนี้ ท่านพระมหาโมคคัลลานะเมื่อจาริกไปบนภูเขา วันหนึ่งไปถึงที่นั้น เห็นเปรตเหล่านั้น จึงถามถึงกรรมที่เปรตเหล่านั้นกระทำด้วยคาถานี้ว่า :-
ท่านทั้ง ๔ คนนี้ คนหนึ่งกอบเอาแกลบข้าวสาลีที่ไฟลุกโชนโปรยใส่ศีรษะตนเอง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 396
อีกคนหนึ่งทุบศีรษะของตนด้วยค้อนเหล็ก ส่วนคนที่เป็นหญิง เอาเล็บจิกหลังกินเนื้อและเลือดของตนเอง ส่วนท่านกินคูถอันเป็นของไม่สะอาด ไม่น่าปรารถนา นี้เป็นวิบากแห่งกรรมอะไร.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภุสานิ ได้แก่ ข้าวรีบ. บทว่า เอโก แปลว่า ผู้หนึ่ง. บทว่า สาลึ แปลว่า ข้าวสาลี. จริงอยู่ บทว่า สาลึ นี้ เป็นทุติยาวิภัตติ ลงในอรรถแห่งฉัฏฐีวิภัตติ. อธิบายว่า โปรยแกลบแห่งข้าวสาลีที่ไฟลุกโชนลงบนศีรษะของตน. บทว่า ปุนาปโร ตัดเป็น ปุน อปโร แปลว่า อีกคนหนึ่ง. จริงอยู่ ท่านกล่าวหมายถึงผู้ตัดศีรษะมารดาแล้วเอาค้อนเหล็กตีศีรษะตนเองจนถึงศีรษะแตก. บทว่า สกมํสสโลหิตํ มีวาจาประกอบความว่า ย่อมกินเนื้อหลังและเลือดของตนเอง. บทว่า อกนฺตํ แปลว่า ไม่น่าชอบใจ คือ น่าเกลียด. บทว่า กิสฺส อยํ วิปาโก ความว่า นี้เป็นผลแห่งบาปกรรมชนิดไหน ซึ่งพวกท่านเสวย ณ บัดนี้.
เมื่อพระเถระถามถึงกรรมที่ชนเหล่านั้นกระทำอย่างนี้ ภริยาของพ่อค้าโกง เมื่อจะแจ้งถึงกรรมที่ชนทั้งหมดนั้นกระทำไว้ จึงได้กล่าวคาถาว่า :-
เมื่อก่อน ผู้นี้เป็นบุตรของดิฉัน ได้ตีดิฉันเป็นมารดา ผู้นี้เป็นสามีของดิฉัน เป็นพ่อค้าโกงข้าวเปลือกปนแกลบ ผู้นี้เป็นลูกสะใภ้ของดิฉัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 397
ลักกินเนื้อแล้ว กลับหลอกลวงด้วยมุสาวาท ดิฉันเมื่อเกิดเป็นมนุษย์ในมนุษยโลก เป็นหญิงแม่เรือน เป็นใหญ่กว่าสกุลทั้งปวง เมื่อสิ่งของมีอยู่ เหล่ายาจกขอแล้ว เก็บซ่อนไว้เสีย ไม่ได้ให้อะไรๆ จากของที่มีอยู่เลย ปกปิดไว้ด้วยมุสาวาทว่า ของนี้ไม่มีในเรือนของเรา ถ้าเราปกปิดของที่มีไว้ไซร้ ขอคูถจงเป็นอาหารของเรา ภัตรแห่งข้าวสาลีอันมีกลิ่นหอม ย่อมกลับกลายเป็นคูถ เพราะวิบากแห่งกรรม คือมุสาวาทของดิฉัน ก็กรรมทั้งหลายไม่ไร้ผล กรรมนั้นย่อมไม่สาบสูญ เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงกินและดื่มแต่มูตรคูถอันมีกลิ่นเหม็น มีหนอน.
นางเปรตเมื่อจะแสดงถึงบุตรจึงได้กล่าวว่า อยํ ในคาถานั้น. บทว่า หึสติ แปลว่า ใช้กำลังเบียดเบียน อธิบายว่า ใช้ไม้ค้อนตี. บทว่า กูฏวาณิโช แปลว่า พ่อค้าเลวทราม อธิบายว่า ทำการค้าด้วยการหลอกลวง. บทว่า มํสานิ ขาทิตฺวา ความว่า กินเนื้อที่ทั่วไปแก่คนเหล่าอื่นแล้ว หลอกลวงชนเหล่านั้นด้วยมุสาวาทว่า เราไม่ได้กิน.
บทว่า อคารินี ได้แก่ หญิงแม่เจ้าเรือน. บทว่า สนฺเตสุ ความว่า เมื่อเครื่องอุปกรณ์ที่ชนเหล่าอื่นขอยังมีอยู่นั่นแล. บทว่า ปริคุหามิ แปลว่า ปกปิด. จริงอยู่ คำว่า ปริคุหามิ นี้ ท่านกล่าว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 398
ด้วยกาลวิปลาส. บทว่า มา จ กิญฺจิ อิโต อทํ ความว่า เราไม่ได้ให้แม้เพียงสิ่งอะไรๆ จากสิ่งอันเป็นของของเรานี้ แก่ชนเหล่าอื่นผู้ต้องการ. บทว่า ฉาเทมิ ความว่า ปกปิดด้วยมุสาวาทว่า สิ่งนี้ไม่มีอยู่ในเรือนของเรา.
บทว่า คูถํ เม ปริวตฺตติ ความว่า ข้าวสาลีมีกลิ่นหอมย่อมเปลี่ยนไป คือ แปรไปโดยความเป็นคูถ ด้วยอำนาจกรรมของเรา. บทว่า อวญฺฌานิ แปลว่า ไม่สูญเปล่า คือ ไม่ไร้ผล. บทว่า น หิ กมฺมํ วินสฺสติ ความว่า กรรมตามที่ตนได้สั่งสมไว้ยังไม่ให้ผล จะไม่สูญไปไหนเลย. บทว่า กิมินํ ได้แก่ มีหนอน คือ เกิดเป็นหมู่หนอนขึ้น. บทว่า มีฬฺหํ แปลว่า คูถ. คำที่เหลือง่ายทั้งนั้น เพราะมีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง.
พระเถระ ครั้นสดับคำของนางเปรตนั้นอย่างนี้แล้ว จึงได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำเรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุแล้ว จึงทรงแสดงธรรมแก่บริษัทผู้ถึงพร้อมแล้ว. เทศนานั้นได้มีประโยชน์แก่มหาชน ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาภุสเปตวัตถุที่ ๔