ธรรมนั้นไม่ขัดขวางชีวิตในทางโลกเลย
โดย สารธรรม  17 ก.ย. 2565
หัวข้อหมายเลข 44000

ถ. จะเรียนต่อทางโลกดีหรือไม่ หรือจะฝักใฝ่ศึกษาทางธรรมอย่างเดียว หรือจะศึกษาคู่กันไปทั้งโลกและธรรม

สุ. แต่ละบุคคลไม่เหมือนกันเลย จิตวิจิตรมาก ความวิจิตรของจิตนั้นทำให้ต่างกันไปตามการสะสมของจิต เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้ดี ผู้ที่จะตัดสิน ไม่มีผู้อื่นนอกจากตนเอง เรื่องของธรรมก็ไม่ควรทอดทิ้ง หรือไม่ควรจะขาดธรรมเลย ไม่ว่าจะมีชีวิตในลักษณะใดทั้งสิ้น ก็ควรที่จะมีการฟังธรรม พิจารณา แล้วประพฤติปฏิบัติตามธรรมอยู่เรื่อยๆ อย่าให้ชีวิตขาดธรรม หรือขาดการศึกษา ขาดการฟังธรรม ซึ่งถ้าเป็นโดยลักษณะนั้นแล้วก็จะเป็นผู้ที่ประมาท เพราะถึงแม้ว่าจะมีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่งในการประพฤติปฏิบัติธรรม แต่ถ้าเป็นผู้ที่ประมาทโดยไม่ศึกษา ไม่ปฏิบัติตาม ก็จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะอื่นได้ ถ้าผู้ใดขาดธรรมชีวิตก็ย่อมมืดมน แล้วอาจจะทำให้ไขว้เขวไปจากการที่คิดว่าต้องการที่จะให้เป็นไปอย่างนั้น

ข้อสำคัญ คือ ถึงแม้จะฟังคนอื่นบอก หรือให้เหตุผลชี้แจงศึกษาพระธรรมโดยละเอียด แต่การที่แต่ละบุคคลจะตัดสินใจดำเนินชีวิตในทางใด เมื่อตัดสินใจแล้วก็แสดงถึงการสะสมของเหตุปัจจัยของบุคคลนั้นที่ทำให้ตัดสินใจอย่างนั้น

สำหรับธรรมนั้นไม่ขัดขวางชีวิตในทางโลกเลย อย่างชาวกุรุในสมัยโน้น พระ ผู้มีพระภาคทรงแสดง มหาสติปัฏฐาน กับชาวกุรุเพราะเห็นอินทรีย์ของชาวกุรุว่า สามารถรู้ธรรมลึกซึ้งได้ ชาวกรุงเทพ ชาวไทย ก็ไม่สำคัญว่าจะต้องจำกัดแต่เฉพาะชาวกุรุในครั้งอดีต ผู้ใดมีอินทรีย์ที่สามารถจะเข้าใจธรรมลึกซึ้งได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร มีอาชีพอะไรก็ตาม สามารถเจริญสติปัฏฐาน ประพฤติปฏิบัติตามธรรม ไม่ว่าในสมัยโน้น หรือว่าจนกระทั่งถึงในสมัยนี้ โดยที่ไม่จำกัดบุคคลเลย เพราะเหตุว่าผู้ที่เจริญสติ-ปัฏฐานนั้นมีตั้งแต่พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชาไปจนกระทั่งถึงพวกทาสกรรมกรก็เจริญสติปัฏฐานได้ และเรื่องที่เขาคุยกันในสมัยนั้นก็คุยกันในเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน เวลาที่พบกันก็ถามกันว่า เจริญสติปัฏฐานอะไร ถ้าใครตอบว่าไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ก็จะต้องถูกติเตียนว่า ชีวิตไม่มีประโยชน์ ตายทั้งเป็น มีชีวิตอยู่ก็เหมือนตาย ซึ่งความจริงแล้วถ้ามีชีวิตอยู่แต่ไม่เจริญสติปัฏฐาน ก็สะสมอกุศลไปเรื่อยๆ ทุกขณะที่เห็นได้ยินในวันหนึ่งๆ

เพราะฉะนั้น ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย และผู้ที่คุยกันนั้นก็ยังให้โอวาทตักเตือนกันว่า อย่าได้มีชีวิตอยู่โดยไม่เจริญสติปัฏฐาน และถ้าผู้ใดทราบว่า ใครเจริญสติปัฏฐาน ก็อนุโมทนาสาธุการ แล้วก็ยังเน้นว่า ได้ถึงความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ เพราะเหตุว่าพระผู้มีพระภาคทรงอุบัติขึ้นเพื่อประโยชน์ของท่านในเรื่องนี้ ซึ่งทุกท่านนั้นจะต้องเจริญสติละกิเลสด้วยตนเอง ผู้อื่นไม่สามารถละกิเลสให้ได้

เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ไม่จำกัดการงาน อาชีพ หรือชีวิตในทางโลกเลย แล้วแต่ว่าจะฝักใฝ่ในทางธรรมได้มากเท่าไรก็ยิ่งเป็นประโยชน์เท่านั้น ส่วนจะตัดสินใจดำเนินชีวิตในทางไหนนั้น ก็เป็นเรื่องของการสะสมของแต่ละบุคคล อย่างบางท่านไม่อยากพิจารณากิเลส มีเหตุปัจจัยสะสมแล้วเกิดขึ้นปรากฏ เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าใครจะมีกิเลสที่น่ารังเกียจ ก็เป็นของจริงที่สะสมมา แล้วก็เป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง ระลึกรู้ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น การเจริญสติปัฏฐานที่จะละการยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตนได้นั้น จะต้องพิจารณารู้นามรูปจริงๆ


ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 92