สุนัขของดิฉันอายุ ได้เป็นโรคหัวใจ มาแล้ว 4 ปี ดิฉันได้ดูอย่างดีป้อน ยา มาตลอด จนวันที 27 พ.ย 59 ตอนตี 3 เค้าหอบมาก ไม่ยอมนอน พอตี 5 ดิฉันพาไปโรงพยาบาล แห่งหนึ่งในกรุงเทพ พอเวลา 9.30 ดิฉันได้เข้าไปเยี่ยม สุนัขยังนั่งหอบอยู่ ห้อง ICU
ดิฉันไปแอบดูอีกครั้ง 9.35 เห็นสุนัขเริ่มนอน ดิฉันคิดว่าคงอาการดีขึ้น พอเวลา 9.40 หมอบอกว่าไม่หายใจ แล้ว จะทำการปั๊มหัวใจ 9.50 บอกว่าสุนัขตาย (สุนัขอายุ 12 ปี) ดิฉันเสียใจมาก คิดว่า พาเขาไปตาย
ถ้าพาไปโรงพยาบาลที่ดีทีสุด หรือคลินิกที่เคยรักษาเขาอาการดีขึ้น เขาคงไม่ตาย ดิฉันทุกข์ใจ และรู้สึกผิดมาก และ ขณะที่เขาตายไม่ได้เห็นหน้าเรา สุนัขจะคิดว่าดิฉันทิ้งเขาไหมคะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน ซึ่งสำหรับเรื่องที่กล่าวมา ไม่ได้เป็นบาป เพราะไม่ได้มีเจตนาทำร้าย ไม่ได้มีเจตนาเบียดเบียนแต่อย่างใด ส่วนสัตว์จะตาย หรือไม่ตายนั้นก็ตามกรรมของสัตว์ตราบใดที่ยังมีกิเลส ก็ยังจะต้องมีทุกข์เป็นธรรมดา ไม่ว่าใคร หรือ บุคคลใด ผู้ที่ไม่ทุกข์อีกเลย คือ ผู้ที่ดับกิเลสจนหมดสิ้น เพราะฉะนั้น หนทางที่ถูก ที่จะแก้ทุกข์ คือ เข้าใจทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา อยู่กับความทุกข์ด้วยความเข้าใจ เข้าใจว่าจะต้องทุกข์ วิธีแก้ทุกข์ จะต้องมีปัญญาความเข้าใจถูก ซึ่งปัญญาจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม จากพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง
ซึ่งควรพิจารณาความจริงว่า สัตว์แต่ละชีวิตก็มีกรรมเป็นของๆ ตน สัตว์ตายหรือใครจะตายก็เพราะ กรรมของตนเอง ไม่มีใครจะสามารถทำให้ใครตายได้ เมื่อสัตว์เกิด สุนัขเกิด ก็มาด้วยกรรมของสัตว์นั้นเอง และ เมื่อตายก็ตายด้วยกรรมของสัตว์ต่างคนต่างมา ต่างคนก็ต่างไป ที่สำคัญที่สุด เมื่อสัตว์ตายแล้วก็ต้องเกิดทันที เพราะฉะนั้น สุนัขที่ตายไปแล้ว ก็เกิดแล้ว เขาก็อาจเกิดในสถานที่ดีๆ ควรจะเศร้าโศก ถึงสัตว์ สุนัข ที่ไปในสถานที่ หรือ เกิดในที่ดีแล้วหรือไม่
หากจะเศร้าโศกถึงสัตว์ที่จากไป ก็ควรคิดถึงตนเองที่จะต้องจากไป ดังเช่นสัตว์นั้น ควรที่จะไม่ประมาทในชีวิต ที่จะศึกษาธรรม อบรมปัญญา ในช่วงเวลาที่มีชีวิตที่เหลือน้อย ความตายก็ใกล้มาทุกขณะ ความตายของผู้อื่น ย่อมเป็นเครื่องเตือนให้น้อมเข้ามาในตนว่า ควรใช้ชีวิตที่ไม่ประมาท สิ่งที่ติดตัวไปได้ คือ ความดี และความไม่ดี แต่สิ่งที่เป็นที่พึ่ง คือ กุศล บุญที่กระทำ และสัตว์ หรือ ญาติที่เสียชีวิตไป สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเขา คือ ไม่ใช่ความเศร้าโศกของเรา แต่ คือ การทำบุญ อุทิศส่วนกุศลไปให้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับผู้รับ คือ ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สัตว์ ตายแล้ว เกิดทันที ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ สัตว์โลก มีกรรมเป็นของของตน การเศร้าโศกเสียใจ ไม่มีผลต่อการจากไปของผู้ที่ละจากโลกนี้ไปแล้ว มีแต่จะทำให้ตนเอง ผ่ายผอม ซูบซีด เพราะผู้นั้น ก็ไปตามกรรมของตนจริงๆ สภาพธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ ชีวิตประจำวันจึงไม่พ้นไปจากธรรม ขณะที่เศร้าโศกเสียใจมีจริงๆ เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น บุคคลผู้ที่ยังมีความเศร้าโศกอยู่นั้น ก็เพราะยังมีกิเลส ยังมีความติดข้อง ยินดีพอใจ ยังมีอวิชชาอยู่ จึงต้องมีความเศร้าโศกเป็นธรรมดา เมื่อมีความติดข้อง ผลที่ตามมาคือ ความเศร้าโศกเสียใจ เมื่อสิ่งที่ติดข้องนั้นพลัดพรากจากไป แต่เมื่อได้อาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ย่อมจะทำให้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน และเป็นความจริงที่ว่าขึ้นชื่อว่าสัตว์โลก แล้ว ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อมีชาติ ชราย่อมติดตาม พยาธิก็ครอบงำและท้ายที่สุดก็ถูกมรณะคือความตายห้ำหั่น ไม่มีใครรอดพ้นได้เลย
จากกรณีการตายของสัตว์อื่น ของคนอื่น ก็สามารถพิจารณาได้ว่า ในที่สุดเราก็จะตายเหมือนกัน ไม่ใช่ตายแต่คนอื่น ก็จะเป็นเครื่องเตือนใจตนเองอยู่เสมอ เพื่อเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต ไม่ประมาทกำลังของอกุศล และไม่ประมาทในการเจริญกุศล ซึ่งรวมถึงการอบรมเจริญปัญญาเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกยิ่งๆ ขึ้นไปด้วย เพราะเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตในภพนี้ชาตินี้มาถึง ต้องบ่ายหน้าไปสู่ความตาย ไม่มีใครสามารถที่จะขอร้อง หรือผัดเพี้ยนได้เลย ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
สาธุ
ดิฉัน กราบ ขอบพระคุณ คุณpaderm และ คุณkhampan.a ด้วยใจจริง ค่ะ
ดิฉันรู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง แต่ดิฉัน รบกวนขอสอบถามเพิ่มดังนี้คะ
1. สุนัข จะคิดว่าดิฉันทิ้งเขาไหมคะ เพราะขณะที่ตายดิฉันไม่อยู่ด้วย
2. เพื่อนบอกว่า ถ้าดิฉัน ยังเศร้าโศกเสียใจ สุนัข จะเป็นวิญญาณ ห่วงเราไม่ไปใหน
ขอบคุณมากค่ะ
เรียน ความคิดเห็นที่ 4 ครับ
๑. เรื่องของสุนัข ก็เป็นเรื่องของสุนัข แต่ละชีวิต ก็มีเห็น มีได้ยิน ฯลฯ มีคิดนึก จะคิดอย่างไร ก็ตามการสะสมของแต่ละบุคคล ซึ่งก็คือ ธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ใครจะคิดอย่างไร ก็ยากที่จะรู้ได้ ที่สำคัญที่สุด คือ สภาพธรรมที่เกิดปรากฏ เข้าใจอย่างถูกต้อง ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา แม้ คิด ก็มีจริง เป็นธรรม ไม่ใช่เรา
๒. เป็นเรื่องของความคิดจริงๆ แต่พระธรรมจะแสดงให้เข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงว่า ผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ตายแล้ว เกิดทันที เกิดเป็นบุคคลใหม่ในภพใหม่ทันที ตามกรรม ไม่มีการล่องลอยอยู่บริเวณ นั้นๆ เพราะวิญญาณ ก็คือ จิต สภาพธรรมที่มีจริงเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ ไม่มีการล่องลอย เพราะเกิดตามที่เกิดแล้วก็ดับไป แล้วมีจิตขณะต่อไปเกิดสืบต่ออีก
ทุกชีวิต เกิดมาแล้ว ก็ต้องตาย ไม่มีใครรอดพ้นจากความตายไปได้ ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริง ก็ขอให้ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ต่อไป ขณะที่เข้าใจ ขณะนั้น ไม่เศร้าโศก ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
สาธุ ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
พระไตรปิฎก
ฟังธรรม
วีดีโอ
ซีดี
หนังสือ
กระดานสนทนา