ท่านที่ฟังธรรมมาหลายปี ท่านทีได้ประโยชน์จากการเกิดของปัญญา ไม่ว่ามากหรือน้อย ขอเชิญแสดงประสพการณ์ของการเกิดปัญญาและความรู้สึกที่รู้การเกิดและหรือการให้ประโยชน์ ผู้ที่ฟังธรรม ปัญญาเป็นยอดปรารถนา เป็นพืชที่โตช้า สามารถทำให้ฉลาด พื่งได้แม้นไม่มีเงินทอง และที่สำคัญละกิเลสได้ จึงต้องให้ความสำคัญในการเจริญ
ขอนอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น.
ข้อความบางตอน จากหนังสือ บารมีในชีวิตประจำวัน (ปัญญาบารมี)
โดยอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์.
..................................................
สัทธัมมปัชโชติกา อรรถกถาขุททกนิกาย มหานิทเทสอรรถกถาอัฏฐกวรรค คุหัฏฐกสุตตนิทเทสที่ ๒.
แสดงลักษณะของ ปัญญา ซึ่งตรงกันข้ามกับ อวิชชา มีข้อความว่าชื่อว่า"ปัญญา" เพราะอรรถว่ารู้ทั่ว รู้ทั่วอะไร รู้ทั่วอริยสัจจ์ทั้งหลาย โดยนัยว่า นี้ทุกข์ เป็นต้น.
การเห็นปัญญาในชีวิตประจำวันจะต้องอบรม จนกระทั่งแทงตลอดลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ ลักษณะของปัญญานั้นเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตรงตามความเป็นจริงว่าขณะที่สติปัฏฐานไม่เกิดวันหนึ่งๆ ผ่านไปโดยไม่รู้ว่า อกุศลจิตชนิดใดเกิด เป็นโลภะระดับไหนไม่สามารถที่จะแยกเห็นชัดว่า นี้เป็นความพอใจยินดีทางตา หู จมุก ลิ้น กาย ใจวันเวลาจึงผ่านไปโดยไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม แต่เมื่อปัญญาเกิดขึ้นย่อมรู้ทั่วซึ่งธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลและอกุศลและไม่ต้องถามผู้ใดเลยว่าขณะนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล เพราะ"ปัญญา"สามารถรู้ได้และรู้ว่าเป็นธรรมที่ควรเสพ หรือไม่ควรเสพ.
ปัญญาบารมีเป็นสิ่งซึ่งทุกคนปรารถนาที่จะมีอย่างมากแต่ว่าปัญญาบารมี หรือปัญญาที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ทุกคนมีอยู่แล้ว หากจะต้องอบรมให้เกิดขึ้น
การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง จะเห็นประโยชน์ของปัญญาจริงๆ ต้องอาศัยวิริยะและความอดทน เพราะปัญญาที่จะเกิดเจริญขึ้นนั้น ไม่ง่ายการฟังพระธรรมเพียงขั้นพื้นฐานก็ไม่ใช่ปัญญาบารมีที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้เพราะปัญญาบารมีจริงๆ ต้องเป็นไปในการอบรมเจริญความรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
แม้ในขณะฟัง หรือขณะพิจารณา หรือขณะที่ระลึกได้ในขณะนี้.
ขออนุโมทนา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ปัญญาเป็นยอดปรารถนา ผมว่าจะหลงทางก็เพราะคำนี้ นะ ครับ
ปัญญาเป็นธรรมะ เป็นสิ่งที่มีจริงโดยไม่ต้องใช้คำว่า"ปัญญา" หรือคำอื่นใดเลย
ขณะใดที่ศึกษา อ่านหรือฟังธรรมะเข้าใจไม่ว่าจะมากหรือน้อย ขณะนั้นไม่เคลือบแคลง ไม่สงสัย ไม่โกรธ ไม่ติดข้อง ขณะนั้นคือ ขณะที่เริ่มรู้ถูกว่าสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เป็นธรรมะ ไม่ใช่ตัวตนสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างไร ขณะนั้นคือ ที่สำคัญไม่ควรลืมว่าควรอบรมปัญญาเพื่อละ และเมื่อปัจจัยทั้งหลายถึงพร้อมปัญญาก็จะเกิดขึ้นทำกิจแล้วก็ดับไป ความต้องการปัญญาหรือความสงสัยในปัญญาไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้ปัญญาเจริญขึ้น แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยเป็นอาหารของปัญญา คือการฟังพระสัทธรรม
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้สภาพธรรมทั้งหลาย ทั้งปวง ตามความเป็นจริง พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรมตลอด ๔๕ พรรษา ก็เพื่อให้พุทธบริษัทได้อบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมทุกอย่าง ที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวันเป็นปกติตามความเป็นจริง เนื่องจากยังมีกิเลส จึงต้องเกิดอยู่ร่ำไป นับชาติไม่ถ้วน แต่เพราะรู้ว่าเป็นผู้ที่หนาแน่นไปด้วยกิเลสนานาประการนี้เอง จึงต้องอาศัยพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง จากความไม่รู้ ก็จะค่อยๆ เป็นผู้ที่รู้ขึ้น เข้าใจถูกขึ้น ความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นปัญญา เมื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงขึ้นเรื่อยๆ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดาในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะทั้งที่น่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจ หรือไม่น่าปรารถนาไม่น่าใคร่ไม่น่าพอใจ ก็ตาม ก็จะไม่เป็นไปเพื่อการเพิ่มกิเลส แต่จะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญาที่เริ่มเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงว่า เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ เท่านั้น ฉะนั้น จึงต้องฟังพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริง เป็นจริง ที่ปรากฏทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ต่อไป อย่างไม่ท้อถอย ครับ ...ขออนุโมทนาครับ...
..
ฟังธรรมะให้เข้าใจว่าเป็นธรรมะไม่ใช่เรา ฟังด้วยศรัธา และอดทน ไม่ต้องหวัง ว่าเมื่อไรปัญญาจะมี เมื่อไรจะเข้าใจ กินข้าวจะให้ได้สารอาหารค่อยๆ เคี้ยวอย่างละเอียด อย่ากินข้าวด้วยมูมมามเดี๋ยวจะได้โทษจะไม่ได้ประโยชย์เห็นก็เป็นธรรมะ ได้ยินก็เป็นธรรมะ เพราะธรรมะทำหน้าที่ของธรรมะจึงไม่มีเราไปทำอะไรได้เลย ที่สำคัญอย่าขาดการฟังพระสัจธรรม แล้วพิจารณา บ่อยๆ เนื่องๆ ใหม่เป็นปัญญาขั้นฟังก่อน แล้วต่อมาก็ขั้นเข้าใจ ขั้นนึกคิดพิจารณา ขั้นวิปัสนา ปัญญาก็ไม่ใช่เราเป็นกิจหน้าที่ของธรรมะที่ทำหน้าที่ของธรรมะ จะลัดข้ามขั้นตอนไม่ได้โดยเด็จขาด ไม่ต้องใส่ใจว่าจะนานแค่ไหนกี่ปี แล้วเมื่อไรจะได้
ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง คุณ NIDA ความคิดเห็นที่ ๖ ความจริงแล้วผมจะสรุปตอนท้ายเมื่อทุกท่านแสดงความคิดเห็นหมดแล้ว แต่เมื่ออ่านของคุณ NIDA แล้วไพเราะมาก จึงอดไม่ได้ที่จะขอบคุณมาก่อน ขอเชิญทุกท่านอ่านความคิดเห็นนี้ และพิจารณาดีๆ จะรู้สึกไพเราะมาก
การอบรมปัญญาเพื่อความเห็นถูกเข้าใจถูกในสภาพธรรมะที่เกิดขึ้นใน ปัจจุบันขณะ และ สติก็จะค่อยระลึกรู้สภาพธรรมะที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ จนกระทั่งประจักษ์ในการเกิดดับของสภาพธรรมะเป็นวิปัสสนาญานตามลำดับขั้นต่อไป สัมมาสติหรือสติปัฏฐานเป็นอนัตตา เกิดขึ้นโดยอัติโนมัติ ไม่สามารถทำหรือสร้างขึ้น แต่สามารถสร้างเหตุใกล้ให้เกิดสติปัฏฐานได้โดยการสร้างความเห็นถูกความเข้าใจถูกในสภาพธรรมะที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ จนกระทั่ง สติ เขาทำงานเอง โดยไม่ได้บังคับ บางทีผู้ที่รู้และเข้าใจพระไตรปิฎกทุกชื่อทุกความหมาย แต่ไม่รู้ว่าสภาพธรรมะนั้นได้เกิดขึ้นและดับลงแล้วในขณะนั้น ก็ถือว่ายังห่างไกลกับธรรมะ ขณะเดียวกันผู้ที่ไม่รู้ชื่อรู้ความหมายของธรรมะ แต่ประจักษ์สภาพธรรมะที่เกิดขึ้นในขระนั้น นั้นคือผู้นั้นก้ได้ชื่อว่าเห็นธรรมะ แต่ก็ต้องอาศัยความเห็นถูกและความเข้าใจถูกเป็นเบื้องต้น แต่แท้จริงแล้วสติปัญญาเขาทำหน้าที่ของเขา เพราะสติไม่ไช่เรา
ผิดถูกแล้วแต่ท่านผุ้รู้จะพิจารณา ขออนุโมทนาครับ
ปัญญาเริ่มต้นจากการฟังพระธรรม ฟังเพื่อให้รู้สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฎขณะนี้ว่าอะไรเป็นนาม อะไรเป็นรูป เช่น จิตเห็นที่เกิดขึ้นขณะนี้ อาการที่เห็นเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง สิ่งที่ถูกเห็นเป็นรูปธรรมชนิดหนึ่ง ค่อยๆ อบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้สิ่งที่กำลังปรากฏไม่ว่าทางตา ทางหู.... ว่าเป็นเพียงสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนใดๆ เมื่อปัญญารู้เหตุผลตามความเป็นจริงแล้วย่อมไม่ทุกข์ ถ้าผู้ใดเห็นคุณค่าของปัญญาจริงๆ ย่อมไม่ปรารถนารูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ เมื่อเจริญกุศลแต่ปราถนาจะอบรมเจริญปัญญา จนให้ถึงความสมบูรณ์ที่สามารถจะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท ฉะนั้นเมื่ออธิฐานเพื่อให้ได้สิ่งที่ปราถนา ก็ควรเป็นความปราถนาที่จะเพิ่มพูนปัญญาให้สมบูรณ์จนสามารถดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท ไม่ใช่ว่ากุศลก็ยังไม่เจริญแต่ปรารถนาให้ปัญญาเกิด ก็สิ้นหวังแน่ๆ
ขออนุโมทนาทุกๆ ท่านค่ะ
ขอสรุปและขออนุโมทนาทุกๆ ท่านที่เสนอความคิดเห็น ซึ่งเป็นความคิดเห็นดีๆ อ่านแล้วเข้าใจก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดปัญญา ส่วนผมคงต้องฟังธรรมไปเรือยๆ และจะทบทวนตามความเห็นข้างบนนี้ครับ
ขอขอบคุณ