มีความรู้สึกว่า สติเมื่อระลึก สัญญาเจตสิกที่เกิดกับจิต เช่นสัญญาที่เกิดขณะรู้เย็นหรือขณะแข็ง ถ้าระลึกถึงสัญญาที่เกิดพร้อมกัน (อีก ๖ เจตสิก) จะเป็นการเหมือนคิดเอา ซึ่งต่างจากสุขเวทนา (เมื่อระลึกรู้เย็น) ทุกข์เวทนา (เมื่อระลึกรู้แข็ง)
กราบขอบพระคุณท่านผู้รู้ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แม้แต่สติ และปัญญา ที่เป็นสติปัฏฐาน ก็เป็นอนัตตาคือบังคับบัญชาไม่ได้ ด้วย เพราะฉะนั้น จึงแล้วแต่ว่า สติจะเกิดหรือไม่ ที่สำคัญก็แล้วแต่อีกครับว่า สติ จะระลึกลักษณะของสภาพธรรมใด อารมณ์ใด ก็แล้วแต่สติ เป็นอนัตตา เช่นกัน เพราะฉะนั้น จึงไม่มีตัวตน ที่จะเลือก ให้สติเกิด หรือ ให้สติระลึกลักษณะของเจตสิกใด อารมณ์ใด ที่สำคัญ ถ้าสติเกิดระลึกรู้อะไร ก็รู้สภาพธรรมนั้น ก็เป็นการแสดงว่า เป็นผู้ที่สะสมมาที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้น ครับ
ดังนั้น ที่ทำให้บางคน ระลึกรู้ลักษณะสภาพธรรมนี้ แต่ไม่รู้ลักษณะสภาพธรรมนั้น เป็นเพราะ การสะสมการรู้ลักษณะในสภาพธรรมในอดีตชาติมาต่างกัน และอีกเหตุผลหนึ่ง คือ เพราะแสดงถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ที่เป็น สติและปัญญา เป็นสติปัฏฐาน ว่าแล้วแต่ว่าสติจะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมใดครับ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ได้มีเฉพาะ เวทนาความรู้สึก เท่านั้น ที่ควรรู้ ควรศึกษาให้เข้าใจซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่ละเอียด รอบรู้ ในสภาพธรรมที่กำลังมี กําลังปรากฏในขณะนี้ เพราะธรรมมีมากมายเหลือเกิน ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรม ที่กำลังมีในขณะนี้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ อาศัยการฟังพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริง บ่อยๆ เนืองๆ ก็จะเป็นเหตุ ให้สติปัฏฐานเกิดขึ้น ระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ในขณะนี้ว่าเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา ได้ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เป็นปัญญาลึกซึ้ง ไม่ใช่ปัญญาของปุถุชน ถ้าจะรู้ละเอียดต้องเป็นปัญญาของพระพุทธเจ้า รองลงมาก็เป็นพระสารีบุตร ค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ