[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 311
เถรคาถา เอกนิบาต
วรรคที่ ๗
๑. วัปปเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระวัปปเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 311
เถรคาถา เอกนิบาต วรรคที่ ๗
๑. วัปปเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระวัปปเถระ
[๑๙๘] ได้ยินว่า พระวัปปเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยทัสสนะ ย่อมเห็นคนอันธพาล ผู้เห็นอยู่ด้วย ย่อมเห็นคนอันพาล ผู้ไม่เห็นอยู่ด้วย ส่วนคนอันธพาลผู้ไม่สมบูรณ์ด้วยทัสสนะ ย่อมไม่เห็นคนอันธพาลผู้ไม่เห็น และคนอันธพาลผู้เห็น.
วรรควรรณนาที่ ๗
อรรถกถาวัปปเถรคาถา
คาถาของท่านพระวัปปเถระ เริ่มต้นว่า ปสฺสติ ปสฺโส. เรื่องราว ของท่านเป็นอย่างไร?
ได้ยินว่า ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ท่านบังเกิดในเรือนมีตระกูล ในพระนครหงสาวดี ถึงความเป็นผู้รู้แล้ว ฟังคำชมเชยว่า พระเถระรูปโน้น และรูปโน้น ได้เป็นผู้รับพระธรรมของพระศาสดาเป็นปฐม ดังนี้ จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ตั้งความปรารถนาว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในอนาคตกาล ขอให้ข้าพระองค์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 312
พึงเป็นภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง บรรดาภิกษุผู้รับพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นพระองค์เป็นปฐม ดังนี้ แล้วประกาศการถึงสรณคมน์ ในสำนักของพระศาสดา. ท่านทำบุญจนตลอดชีวิต จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายนั่นแล เกิดเป็นบุตรพราหมณ์ นามว่า " วาเสฏฐะ " ในกรุงกบิลพัสดุ์ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ท่านได้มีนามว่า วัปปะ. วัปปพราหมณ์ (เมื่อ) อสิตฤษีพยากรณ์ว่า สิทธัตถกุมาร จักเป็นพระสัพพัญญู จึงพร้อมด้วยบุตรของพราหมณ์ มีพราหมณ์ชื่อว่าโกณฑัญญะเป็นประมุข ละฆราวาสวิสัย ออกบวชเป็นดาบส คิดว่า เมื่อสิทธัตถกุมารนั้นบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว เราฟังธรรมในสำนักของพระองค์ แล้วจักบรรลุอมตธรรม จึงเข้าไปอุปัฏฐากพระมหาสัตว์ผู้ประทับอยู่ในอุรุเวลานิคม บำเพ็ญเพียรอยู่ ตลอด ๖ ปี เกิดเบื่อหน่าย โดยเหตุที่พระมหาสัตว์กลับเสวยอาหารหยาบ จึง (หลีก) ไปสู่ป่าอิสิปตนะ.
เมื่อพระบรมศาสดาตรัสรู้ (สัมมาสัมโพธิญาณ) แล้วทรงยังเวลาให้ผ่านไปตลอด ๗ สัปดาห์ แล้วจึงเสด็จไปสู่ป่าอิสิปตนะ ทรงแสดงธรรมจักร. ท่านวัปปดาบส ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ในวันปาฏิบท แล้วบรรลุพระอรหัตตผล พร้อมด้วยอัญญาโกณฑัญญพราหมณ์เป็นต้น ในดิถีที่ ๕ แห่งปักษ์. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
สงครามปรากฏแก่ท้าวเทวราชทั้งสอง (พระยายักษ์) กองทัพประชิดกันเป็นหมู่ๆ เสียงอันดังกึกก้องได้เป็นไป พระศาสดาทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ทรงรู้แจ้งโลก สมควรรับเครื่องบูชา ทรงยังมหาชนให้เกิดสังเวช เทวดาทั้งปวงมีใจยินดี ต่างวางเกราะและอาวุธ ถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้า รวมเป็นอัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 313
เดียวกันได้ในขณะนั้น พระศาสดาผู้ทรงอนุเคราะห์ ทรงรู้แจ้งโลก ทรงทราบความดำริของเราแล้ว ทรงเปล่งวาจาสัตบุรุษ ทรงยังมหาชนให้เย็นใจว่า ผู้เกิดเป็นมนุษย์ มีจิตประทุษร้าย เบียดเบียนสัตว์เพียงตัวเดียว จะต้องเข้าถึงอบาย เพราะจิตประทุษร้ายนั้น เปรียบเหมือนช้างในค่ายสงคราม เบียดเบียนสัตว์เป็นอันมาก ท่านทั้งหลายจงยังจิตของตนให้เยือกเย็น อย่าเดือดร้อนบ่อยๆ เลย แม้พวกเสนาของพระยายักษ์ทั้งสอง ได้ประชุมกัน นับถือพระโลกเชษฐ์ผู้คงที่เป็นอันดี เป็นสรณะ ส่วนพระศาสดาผู้มีจักษุทรง ยังหมู่ชนให้ยินยอมแล้ว ทรงเพ่งดูในเบื้องบนจากเทวดาทั้งหลาย บ่ายพระพักตร์ไปทางทิศอุดร เสด็จกลับไป เราได้นับถือพระองค์ผู้จอมประชา ผู้คงที่เป็นสรณะก่อนใครๆ เราไม่ได้เข้าถึงทุคติเลยตลอดแสนกัป ในกัปที่สามหมื่นแต่ภัทรกัปนี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๖ พระองค์ มีพระนามว่า มหาทุนทุภิ และพระนาม ว่า รเถสภะ. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอน ของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
ก็พระวัปปเถระ ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว พิจารณาถึงความที่ พระคุณของพระศาสดาเป็นของยิ่งใหญ่ โดยมุขคือการพิจารณาถึงสมบัติที่ตนได้แล้ว เมื่อจะแสดงว่า เราร้องเรียกพระศาสดา ผู้ (มีพระคุณ) เช่นนี้ ด้วยวาทะว่า เวียนไปเพื่อความเป็นคนมักมาก โอ ขึ้นชื่อว่า ความเป็นปุถุชนกระทำให้เป็นคนมืดมน กระทำให้เป็นคนไม่มีแวว ความเป็นพระอริยเจ้าเท่านั้น กระทำให้เกิดดวงตา (เห็นธรรม) ดังนี้ ได้กล่าวคาถาว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 314
บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยทัสสนะ ย่อมเห็นคนอันธพาล ผู้เห็นอยู่ด้วย ย่อมเห็นคนอันธพาลผู้ไม่เห็นอยู่ด้วย ส่วนคนอันพาลผู้ไม่สมบูรณ์ด้วยทัสสนะ ย่อมไม่เห็นคนอันธพาลผู้ไม่เห็น และคนอันธพาลผู้เห็น ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปสฺสติ ปสฺโส (ผู้เห็นย่อมเห็น) ความว่า บุคคล ชื่อว่า ปัสสะ (ผู้เห็น) เพราะเห็น คือรู้ ได้แก่ตรัสรู้ธรรมทั้งหลาย โดยไม่ผิดพลาดด้วยสัมมาทิฏฐิ หมายถึงพระอริยบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยทัสสนะ พระอริยบุคคลนั้น ย่อมเห็นผู้เห็นอยู่ คือผู้เห็นไม่ผิด ว่า "ผู้นี้เห็นธรรมไม่ผิด" คือย่อมรู้ธรรมสมควรแก่ธรรม ด้วยปัญญาจักษุตามความเป็นจริง มิใช่เห็นเฉพาะผู้เห็นอยู่อย่างเดียว โดยที่แท้แล้ว ยังเห็นผู้ไม่อีกด้วย คือ ย่อมเห็นปุถุชนผู้ปราศจากปัญญาจักษุ ซึ่งไม่เห็นธรรมตามความเป็นจริงนั้น ด้วยปัญญาจักษุของตนว่า "ผู้นี้เป็นคนมืดมน เป็นคนไม่มีดวงตา (เห็นธรรม) ดังนี้.
บทว่า อปสฺสนฺโต อปสฺสนฺตํ ปสฺสนฺตญฺจ น ปสฺสติ (ผู้ไม่เห็นย่อมไม่เห็นทั้งผู้ไม่เห็นและผู้เห็น) ความว่า ส่วนคนอันธพาลผู้ปราศจากปัญญาจักษุ ผู้ไม่เห็น ย่อมไม่เห็นคนอันธพาลผู้เช่นนั้น ผู้ไม่เห็นอยู่ว่า "ผู้นี้ไม่เห็นธรรมและมิใช่ธรรม ตามความเป็นจริง " คือ ไม่รู้ ฉันใด ผู้ที่ไม่เห็น คือไม่รู้ ซึ่งบัณฑิตผู้เห็นธรรมและมิใช่ธรรม ด้วยปัญญาจักษุของตน ตามความเป็นจริงว่า "ผู้นี้เป็นอย่างนี้ "ก็ฉันนั้น เพราะฉะนั้น พระเถระจึงแสดงข้อปฏิบัติอันไม่ผิดของตน ในบุคคลที่ควรคบ และไม่ควรคบว่า "แม้เราผู้ปราศจากทัสสนะในกาลก่อน ไม่เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงเห็นอยู่ซึ่งไญยธรรมทั้งสิ้น เหมือนเห็นมะขามป้อมในมือ (และไม่เห็น) ศาสดาทั้ง ๖ มีปูรณกัสสปะเป็นต้น ผู้ไม่เห็น (ธรรม) ตามความเป็นจริง แต่บัดนี้ เราเข้าถึงด้วยพุทธานุภาพ จึงเห็นบุคคลทั้ง ๒ ฝ่ายตามความเป็นจริงดังนี้.
จบอรรถกถาวัปปเถรคาถา