ชาย หญิง
โดย WS202398  1 ต.ค. 2551
หัวข้อหมายเลข 10040

การที่สัตว์บุคคลทั้งหลายโดยทั่วไปต่างกันเป็นหญิงและชายนั้นเพราะ ภาวรูป ๒ คือ

อิตถีภาวรูป เป็นรูปที่ซึมซาบอยู่ทั่วกาย ทำให้ปรากฏเป็นทรวดทรง สัณฐานอาการ กิริยา ท่าทางของเพศหญิง ปุริสภาวรูป เป็นรูปที่ซึมซาบอยู่ทั่วกาย ทำให้ปรากฏเป็นทรวดทรง สัณฐาน

อาการ กิริยา ท่าทางของเพศชาย ในแต่ละบุคคลจะมีภาวรูปหนึ่งภาวรูปใด คืออิตถีภาวรูปหรือปุริสภาวรูปเท่านั้น และบางบุคคลก็ไม่มีภาวรูปเลย เช่น พรหมบุคคลในพรหมโลก และผู้ที่เป็นกะเทย เช่นนั้นถ้าพิจารณาว่า รูปทั้งสองทำให้รูปที่เกิดร่วมด้วยแสดงถึงลักษณะเป็นชายหรือหญิง แต่โดยทั่วไปไม่ว่าจะเป็นชาย หญิง กะเทย ปกติแล้วก็จะมีกายภาพไม่ชายก็หญิง แต่กะเทย หรือพฤติกรรมเบี่ยงเบนอื่นๆ เป็นนามมิใช่ รูป เหตุใดจึงกล่าวว่า

อิตถีภาวรูป เป็นรูปที่ซึมซาบอยู่ทั่วกาย ทำให้ปรากฏเป็นทรวดทรง สัณฐานอาการ กิริยา ท่าทางของเพศหญิง ปุริสภาวรูป เป็นรูปที่ซึมซาบอยู่ทั่วกาย ทำให้ปรากฏเป็นทรวดทรง สัณฐาน อาการ กิริยา ท่าทางของเพศชาย ซึ่งรวมกิริยาท่าทางด้วย คำว่ากิริยาท่าทางมุ่งไปในทางกายภาพใช่ หรือไม่ มิได้รวมถึงจิตใจใช่หรือไม่



ความคิดเห็น 1    โดย prachern.s  วันที่ 2 ต.ค. 2551

อิตถีภาวรูปเป็นรูปละเอียดไม่สามารถรู้ได้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่รู้ได้ทาง ทวารใจ เท่านั้น แต่นิมิตเครื่องหมาย กิริยา อาการ ท่าทาง เป็นต้นนั้น เป็นการอธิบายให้เห็นถึง ความเป็นหญิง ความเป็นชายอย่างหยาบๆ แต่ไม่ใช่ลักษณะของอิตถีภาวรูปจริงๆ สำหรับพฤติกรรมเบี่ยงเบนที่ผิดแปลกกว่าคนทั่วไปนั้น เป็นเรื่องของจิตใจที่มีการสะสม อกุศลกรรมที่ผิดต่อเพศ จึงทำให้เป็นอย่างที่เห็นๆ กัน


ความคิดเห็น 2    โดย เมตตา  วันที่ 2 ต.ค. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย pornchai.s  วันที่ 2 ต.ค. 2551

เรียนถามคุณประเชิญ ครับ ว่า ในภูมิมนุษย์หรือ เทวดาชั้นต่ำคือชั้นจาตุมหาราชิกา จะมี ภาวรูปทั้งสอง อยู่ในรูปร่างกายเดียวกันได้หรือไม่ และ มีตัวอย่างในพระไตรปิฎกหรือไม่ครับ


ความคิดเห็น 4    โดย prachern.s  วันที่ 3 ต.ค. 2551

ขอเชิญอ่านคำอธิบายอุภโตพยัญชนก จากอรรถกถาดูนะครับ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ หน้าที่ ๒๔๓ ว่าโดยอุภโตพยัญชนกะ ถามว่า บุคคลผู้เป็นอุภโตพยัญชนกะ มีอินทรีย์เดียวหรือมีสองอินทรีย์ บุคคลผู้เป็นอุภโตพยัญชนกะ มีอินทรีย์เดียวหรือมีสองอินทรีย์ ตอบว่า มีอินทรีย์เดียว ก็อินทรีย์ของหญิงผู้เป็นอุภโตพยัญชนกะนั้น มีอินทรีย์เดียว ก็อินทรีย์ของหญิงผู้เป็นอุภโตพยัญชนกะนั้นแลเป็นอิตถินทรีย์ ของชายผู้เป็นอุภโตพยัญชนกะเป็นปุริสินทรีย์. ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น พยัญชนะ (เครื่องหมาย) ที่ ๒ ก็ไม่ปรากฏเพราะตรัสไว้ว่า อินทรีย์แสดงเครื่องหมายเพศ และอินทรีย์ของบุคคลผู้เป็นอุภโตพยัญชนกะนั้นก็ไม่มี. อุภโตพยัญชนกะนั้นก็ไม่มี. ตอบว่า อินทรีย์ของบุคคลนั้น เป็นเครื่องแสดงเพศหามิได้. ถามว่า เพราะเหตุไร? ตอบว่า เพราะไม่มีอยู่ทุกเมื่อ. ด้วยว่า เมื่อใดจิตกำหนัดของอิตถีอุภโตพยัญชนกะเกิดในหญิง ก็ในกาลนั้น เครื่องหมายเพศชายย่อมปรากฏ เครื่องหมายเพศหญิงย่อมปิดบังซ่อนเร้น ปุริสอุภโตพยัญชนกะนอกนี้ ก็มีเครื่องหมายเพศหญิง นอกนี้เหมือนกันผิว่า อินทรีย์ของอุภโตพยัญชนกะทั้งสองเหล่านั้น พึงมีเครื่องหมายที่ ๒ ไซร้เครื่องหมายเพศทั้ง ๒ ก็พึงตั้งอยู่แม้ในกาลทุกเมื่อ แต่ว่าหาได้ตั้งอยู่ไม่ เพราะฉะนั้น อินทรีย์นั้นพึงทราบ คำนี้ว่า อินทรีย์นั้นของอุภโตพยัญชนกะนั้นเป็นเหตุแห่งเครื่องหมายเพศหามิได้ แต่ในที่นี้ เหตุคือ จิตสัมปยุตด้วยราคะมีกรรมเป็นสหาย ก็เพราะอินทรีย์ของอุภโตพยัญชนกะนั้นมีเพียงหนึ่งเท่านั้น ฉะนั้นอิตถีอุภโตพยัญชนกะ แม้ตนเองก็ตั้งครรภ์ได้ ย่อมทำให้บุคคลอื่นตั้งครรภ์ก็ได้ ส่วนปุริสอุภโตพยัญชนกะ ย่อมทำบุคคลอื่นให้ตั้งครรภ์ได้ แต่ตนเองย่อมตั้งครรภ์ไม่ได้ ฉะนี้แล.


ความคิดเห็น 5    โดย khampan.a  วันที่ 3 ต.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 6    โดย pornpaon  วันที่ 3 ต.ค. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ