ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ชาวพุทธแท้"
ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี
วันเสาร์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
~ “ชาวพุทธแท้” จะเป็นการเริ่มเข้าใจพระพุทธศาสนา เพราะว่า “พุทธะ” ความหมายยิ่งใหญ่มาก คือ ผู้รู้จริงๆ คือ รู้ความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เปลี่ยนความหมายของ “พุทธะ” ไม่ได้เลย เพราะคำนี้หมายถึงปัญญา ถ้าเป็นชาวพุทธ หมายความว่า ต้องเป็นผู้รู้ ผู้มีปัญญา ถ้าไม่รู้ ไม่มีปัญญา ใช้คำว่า ชาวพุทธ ไม่ถูกต้อง เป็นชาวพุทธที่ไม่ใช่ชาวพุทธจริงๆ เพราะว่า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ถ้าไม่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกต้อง เป็นชาวพุทธไม่ได้ รู้ความจริงไม่ได้
~ ต้องเริ่มเป็นคนตรงต่อความจริงทุกคำ
~ ขณะนี้ทุกคนเห็น ทุกคนบอกว่าเห็น แต่ความเป็นสภาพรู้ ไม่ปรากฏว่าไม่ใช่เรา
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสทุกคำ ไม่ใช่ให้จำ แต่ให้รู้ความจริง ตรัสเรื่องเห็น เรื่องได้ยิน เรื่องคิด เรื่องจำ เรื่องชอบ เรื่องไม่ชอบ คนฟังเริ่มรู้ ว่า เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง
~ ถ้าสิ่งหนึ่งไม่เกิดขึ้น สิ่งนั้น ไม่มี ถ้ารู้จักสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จริงๆ จะรู้ว่าสิ่งนี้เท่านั้น หนึ่ง เกิด เกิดแล้วปรากฏ
~ ๔๕ พรรษา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ละเอียดอย่างยิ่ง
~ ถ้าไม่เริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แต่ละหนึ่ง ก็ไม่สามารถจะเห็นการเกิดขึ้นของสิ่งหนึ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้แต่ละหนึ่ง
~ ชาวพุทธ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไตร่ตรอง เข้าใจ แล้วต้องมั่นคงขึ้นในคำที่ได้ยินที่เข้าใจแล้วด้วย
~ มั่นคงว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิด สิ่งนั้นดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย ไม่เหลือเลย สุญญตา (ว่างเปล่า) อนัตตา (ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น)
~ ถ้าความเข้าใจยังไม่มั่นคง ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แต่ละหนึ่งได้
~ ต้องเริ่มเห็นความลึกซึ้ง จึงจะเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทีละหนึ่งคำ จนกระทั่งสามารถรู้ว่า พระองค์ทรงประจักษ์แจ้งและทรงแสดงหนทางให้รู้ความจริงที่พระองค์ได้ประจักษ์แจ้งด้วย
~ ถ้าไม่เข้าใจธรรมทีละหนึ่ง จะรู้ไม่ได้เลยว่าสิ่งนั้นเกิดแล้วดับ สืบต่อเร็ว จึงไม่ปรากฏการเกิดดับ
~ เปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ ให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม? (ไม่ได้)
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ ทุกอย่าง เห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง จึงตรัสว่า ธรรม ลึกซึ้ง ยากที่จะรู้ได้ แต่ก็สามารถค่อยๆ เข้าใจได้
~ เมื่อมีความเข้าใจธรรม ก็ทำให้เริ่มคิด มีปัจจัยที่จะเริ่มคิดถึงธรรม
~ ถ้าเป็นความเข้าใจ จะรู้ในความเป็นอนัตตา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสมในอดีตที่ทำให้การสะสมวันนี้เข้าใจขึ้น ก็ทำให้สะสมความเข้าใจ แต่ว่าอะไรจะมากกว่ากัน ก็เห็นได้ในชีวิตประจำวัน
~ การเข้าใจจากการได้ยินเดี๋ยวนี้ จะทำให้มีการไตร่ตรอง “จินตามยปัญญา” (ปัญญาที่เกิดจากการคิดพิจารณา) ที่จากการฟัง ก็เริ่มค่อยๆ เข้าใจในความเป็นจริงตามปกติเพิ่มขึ้น จนกว่าจะมีความเข้าใจตรงลักษณะที่เดี๋ยวนี้กำลังปรากฏ นั่นแสดงถึงความมั่นคงของความเข้าใจธรรม ว่า ไม่ใช่เรา เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ
~ เดี๋ยวนี้ มีธรรม ฟังเรื่องธรรม เข้าใจธรรม แต่ยังไม่รู้จักตัวธรรมเดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏ
~ ยิ่งเข้าใจถูกต้อง ยิ่งเห็นความลึกซึ้งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ มากขึ้นด้วย
~ เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ได้ยิน ไม่ใช่เห็น เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้หรือเปล่า หรือพร้อมกัน? (ไม่พร้อมกัน)
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงทั้งหมด จึงรู้ว่า ถ้าไม่ได้มีความเข้าใจในความลึกซึ้ง ก็ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมตั้งแต่ต้นถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ โดยนัยของธาตุ (สภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน) โดยนัยของอายตนะ (สภาพธรรมที่ประชุมกันในขณะที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทีละขณะ) โดยนัยของขันธ์ (สภาพธรรมที่เกิดดับ ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่า) ต่างๆ ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ จะไม่เข้าใจคำเหล่านั้นเลย ซึ่งเป็นการแสดงลักษณะต่างๆ ให้เข้าใจขึ้นๆ ในความไม่ใช่เรา และไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด
~ ถ้าความเข้าใจว่า “เป็นธรรม ไม่ใช่เรา” ยังไม่พอ ก็ยังไม่สามารถที่จะเป็นถิรสัญญา (ความจำที่มั่นคงที่เป็นไปพร้อมกับปัญญา) ที่จะทำให้เริ่มรู้จักสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เพียงขั้นฟัง แต่เพราะฟัง เข้าใจ จึงเริ่มรู้จักความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้
~ ถ้าไม่เข้าใจแข็ง ตรงแข็ง ชื่อว่า ยังไม่รู้จักแข็ง แต่ฟังเรื่องแข็ง ว่า แข็ง ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่จาน ไม่ใช่เก้าอี้ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจมาก่อน จะไม่มีปัจจัยอะไรที่จะทำให้เริ่มเข้าใจแข็งที่กำลังแข็งเดี๋ยวนี้
~ เริ่มรู้ว่า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่ต้นเพื่อให้รู้จักจริงๆ ตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ที่มี แต่ละหนึ่งลักษณะ
~ ฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องของสิ่งที่มีจริง เข้าใจ นั่นคือ ปริยัติ รอบรู้จนกระทั่งมีความเข้าใจมั่นคงจริงๆ ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงและตรัสรู้หนทางที่จะประจักษ์แจ้งความจริงแต่ละหนึ่งด้วย จึงทรงแสดงให้เริ่มเข้าใจความจริงตามลำดับอย่างมั่นคงขึ้น เป็นถิรสัญญา
~ ถ้าไม่มีความเข้าใจตั้งแต่ต้นในเรื่องสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ก็ไม่มีทางที่จะมีขณะที่เริ่มเข้าใจตรงสิ่งที่กำลังมี ว่า เป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเป็นสิ่งที่มีจริงอย่างนั้น เท่านั้น
~ การเข้าใจความจริงของสิ่งที่มี หมายความว่า เข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มี ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
~ ถ้าไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มี ก็จะมีความยินดีติดข้อง เป็นอริยสัจจะที่ ๒ ที่จะต้องละความยินดีติดข้องเพราะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังเกิดดับขณะนี้
~ ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้และเมื่อไหร่ก็ตาม ตามเหตุตามปัจจัย ก็ไม่สามารถที่จะละความติดข้องได้ เพราะฉะนั้น จึงต้องมีปริยัติในอริยสัจจะ ๔ เข้าใจแน่นอนมั่นคงว่าไม่มีเราที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด จึงไม่ทำผิด ไม่ทำด้วยความต้องการหวังจะรู้ความจริง
~ มีความเข้าใจถูกอย่างมั่นคงว่า ความเข้าใจเดี๋ยวนี้ในสิ่งที่กำลังมีขั้นปริยัติ เข้าใจเรื่องราวของสิ่งนั้น จะนำไปสู่การรู้จักตัวธรรมทั้งหมด อะไรก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้และต่อไป ก็เป็นธรรม จึงสามารถที่จะรู้ว่า นี่เป็นหนทางเดียว เพราะถ้าไม่เข้าใจ โลภะก็อยู่ที่นั่น
~ ปริยัติ เป็นความงามในเบื้องต้นของคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเป็นความจริงถึงที่สุดโดยละเอียดอย่างยิ่ง ที่จะนำไปสู่การดับกิเลส ถ้าไม่มีปริยัติ ก็ไม่มีหนทางเลยที่จะดับกิเลสได้ เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้น เข้าใจความลึกซึ้งอย่างยิ่งของคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ในเบื้องต้น คือ ปริยัติ ต้องมั่นคง จึงจะสามารถที่จะทำให้ปัญญารู้ความจริงยิ่งกว่านี้ ทีละเล็กทีละน้อย จนสามารถประจักษ์แจ้งความจริงได้ เป็นปัญญาอีกขั้นหนึ่ง
~ ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมขั้นปริยัติ ก็ไม่สามารถที่จะมั่นคงในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะฉะนั้น ชาวพุทธแท้ ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆ ในความลึกซึ้งของธรรม
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ถ้าความเข้าใจว่า “เป็นธรรม ไม่ใช่เรา” ยังไม่พอ ก็ยังไม่สามารถที่จะเป็นถิรสัญญา (ความจำที่มั่นคงที่เป็นไปพร้อมกับปัญญา) ที่จะทำให้เริ่มรู้จักสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เพียงขั้นฟัง แต่เพราะฟัง เข้าใจ จึงเริ่มรู้จักความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ