ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๘ ดาลัด-ญาจาง]
โดย วันชัย๒๕๐๔  3 มิ.ย. 2558
หัวข้อหมายเลข 26600

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

.........

ดาลัด - ญาจาง

[Dalat - Nha Trang]

๑๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘

๗ วัน ของการเดินทางมาสนทนาธรรม ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ณ K'Lan Eco Resort เมืองดาลัด เวียดนาม ได้สิ้นสุดลงอย่างเรียบร้อย งดงาม เป็นไปกับความประทับใจของผู้ที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมสนทนาธรรมในครั้งนี้ เป็นอย่างยิ่ง

ข้าพเจ้ายังไม่ลืมความประทับใจ ในบรรยากาศและความงามของชีวิตในป่าสน บนเนินเขา ยังไม่ลืมอากาศที่เย็นสบาย บางวันอากาศค่อนข้างหนาวเย็น เมื่อมีฝนตก บ้านพักและห้องนอนที่ไม่สามารถเปิดหน้าต่างได้ ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ไม่มีพัดลม แต่มีอากาศเย็นราวเปิดแอร์ทั้งวัน ที่เคยแพ้อากาศ หายใจไม่สะดวกยามเช้าเมื่ออยู่กรุงเทพฯ อาการนั้นไม่เกิดขึ้นเลยแม้สักครั้งเดียว อาจเพราะอีกเหตุหนึ่ง ที่ต้องเดินขึ้นลงเนินเขาทุกวัน เป็นระยะพอหอบ (แฮ่กๆ ) เนื่องจากไม่เคยออกกำลังกายเลย นั่งนอนแต่ที่โต๊ะในห้องแอร์ทั้งวัน

เมื่อกลับมากรุงเทพฯ อาการแพ้อากาศ หายใจไม่โล่งจมูกก็กลับมา จึงสัพยอกกับคนที่บ้าน ว่า จะย้ายไปอยู่เวียดนามกันเสียเลยจะดีไหม? แล้วก็ชวนให้ดูภาพมากมายที่ได้บันทึกมา สรุปว่า มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง ที่อาจจะได้ไปเวียดนามกับท่านอาจารย์อีกในคราวหน้า แต่ไม่ใช่การย้ายถิ่นฐานไปอยู่ เพียงถ้าได้ไปคราวหน้า ข้าพเจ้าอาจโชคดีมีเพื่อนร่วมห้อง ไม่ต้องนอนคนเดียวในห้องแสนสวยของโรงแรมและรีสอร์ทที่เวียดนามอีก เหมือนในครั้งนี้ อะไรก็เป็นไปได้ เกิดขึ้นได้ แล้วแต่เหตุปัจจัย จากที่เคยคิดว่าจะไปสักครั้งเดียว ก็อาจเป็นหลายครั้งก็เป็นได้ หรืออาจไม่ได้ไปอีกเลย ใครจะรู้? ถึงเวลาก็รู้เอง!!! ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ก็ควรที่จะน้อมไปสู่การ "ทำดีและศึกษาพระธรรม" ตามที่ท่านอาจารย์ได้มอบวลีอันมีค่ายิ่งนี้ไว้ให้กับชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ไม่ใช่การอยากจะอยู่ หรือ อยากจะไป เพื่อเข้าใจธรรม แต่อยู่ที่ไหนๆ ก็เข้าใจธรรมได้

ในวันที่ ๘ ของการเดินทางมาที่เวียดนามของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เป็นการเดินทางออกจาก K'Lan Eco Resort เมืองดาลัด อันแสนสวย ตั้งแต่เช้าตรู่ เนื่องจากท่านอาจารย์ ท่านเมตตาที่จะแวะไปในงานศพของคุณตวนก่อน ซึ่งได้ทราบในภายหลังว่า ความจริงทางครอบครัวคุณตวน จะทำพิธีเผาศพในตอนบ่าย แต่เมื่อทราบว่า ท่านอาจารย์จะเดินทางไป ก็รู้สึกเป็นเกียรติและมีความปีติยินดีมาก จึงได้เลื่อนพิธีเผาศพจากตอนบ่าย มาเป็นตอนเช้า เพื่อให้ท่านอาจารย์และคณะฯ ได้ร่วมพิธีฯ เป็นความประทับใจอย่างยิ่ง ยากที่จะบรรยาย ที่ความเมตตาของท่านอาจารย์ ทำให้สัมพันธไมตรี อันหามีเชื้อชาติและภาษาใดไม่นี้ เป็นที่ซาบซึ้ง ตราตรึงใจทุกคนยิ่งนัก ข้าพเจ้าจึงขอแยกการเดินทางไปร่วมไปในพิธีดังกล่าวของท่านอาจารย์และคณะฯ เป็นอีกกระทู้หนึ่ง สั้นๆ ต่างหาก เป็นตอนที่ ๓ [ตอนจบ] ของเรื่องราวแสนประทับใจนั้น ท่านที่สนใจ สามารถคลิกชมภาพและเรื่อง ได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้นะครับ

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เดินทางไปร่วมในพิธีศพสมาชิกชมรมบ้านธัมมะเวียดนาม

เช้าตรู่ของวันเดินทางออกจาก K'Lan Eco Resort รีสอร์ทสวยในป่าสนบนยอดเขา ข้าพเจ้าทั้งหิ้วทั้งลากกระเป๋าเดินทางใบโตจากบ้านพัก ขึ้นเนินเขาไปยังถนนเมนของรีสอร์ท ในใจรู้สึกใจหายเล็กๆ ที่ต้องไปจากที่ที่เคยได้อาศัยเพื่อประโยชน์ในการฟังพระธรรม มาตลอด ๗ วัน แม้จะเพียงแค่รู้เรื่องบ้างเล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ จากการฟัง ที่ค่อยๆ คุ้นเคยขึ้นบ้างในภาคภาษาอังกฤษ และ ยังรู้สึกดีและคุ้นเคยในภาษาเวียดนามด้วย เมื่อถึงถนนเมน ก็พบคุณเซิน (Nguyen Truong Son) เดินมาพอดี เมื่อเห็นข้าพเจ้าหิ้วกระเป๋าใบโต คุณเชินก็กรุณากุลีกุจอมาช่วยยกกระเป๋า ไปฝากไว้ที่บ้านคุณหลาน (Lan Nanika) และคุณหั่ง (Nguyen Thi Minh Hang) เพื่อรอรถบัสมารับ จากนั้นจึงเดินไปรับประทานอาหารเช้า

ข้าพเจ้าได้ทราบว่า ชาวเวียดนามบางท่านที่มาฟังท่านอาจารย์ ยังคงนั่งสมาธิอยู่ บางท่านบอกว่า มาฟังท่านอาจารย์ เพื่อที่จะนำไปปฏิบัติ แม้ท่านอาจารย์จะกล่าวอย่างไร เธอก็ยังดื้อ ยังเป็นผู้ที่ติดข้องในการที่จะปฏิบัติ เพราะคิดว่า "เรา" ทำได้ และบางท่าน ก็ยังไม่สามารถละทิ้งครูบาอาจารย์เก่าๆ ที่ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง ไม่สามารถละทิ้งความนับหน้าถือตาของผู้ร่วมสมาคมเดิมๆ ที่มีต่อตนเอง จึงยังคงหลงอยู่ในสมมติ ความติดข้อง ความยึดมั่น ความสำคัญในตน เป็นผู้ที่ถูกครอบงำด้วยอวิชชาและโลภะที่มีกำลัง อย่างน่าเสียดาย ในความเป็นมิตร ก็เพียงหวังว่า ท่านเหล่านั้น จะเป็นผู้ที่สามารถละคลายความเห็นที่ไม่ถูกต้องนั้นได้ ในวันหนึ่ง แม้จะทีละเล็ก ทีละน้อย ก็ตามที เพราะเหตุที่ยังเป็นผู้ที่ยังฟังพระธรรมอยู่ ยังไม่ละมือจากเชือก คือ พระธรรม ซึ่งบุคคลได้พึ่งพาอาศัย ไต่ขึ้นจากหุบเหวลึกของอวิชชา แต่เมื่อปล่อยมือจากเชือกเมื่อใด ก็ย่อมเป็นผู้ที่ห่างไกลจากหนทางอย่างไม่มีวันได้หวนกลับ มีแต่จะดิ่งลงสู่เหวลึก คือ อวิชชา เป็นดังตอของวัฏฏะ ที่ปักแน่น ไม่มีทางที่จะออกจากวัฏฏะแห่งทุกข์นี้ได้เลย

(ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาภาพบางส่วนจากคุณนภา จันทรางศุ ครับ)

เมื่อบุคคลมีความเข้าใจขึ้น จึงรู้ว่า หามีผู้ใดสามารถที่จะทำอะไรได้เลย ในทุกๆ ขณะนี้!!! และ หารู้ไม่ว่า แม้เพียง "คิด" ที่จะทำอะไรๆ "คิด" นั้น ก็ห้ามไม่ให้คิดไม่ได้เลย เพราะ "คิด" นั้นก็เกิดแล้ว ตามเหตุ ตามปัจจัย ด้วยความเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ หากมิได้ฟังพระธรรมด้วยความเคารพ นอบน้อม ย่อมไม่สามารถเข้าถึงความเข้าใจจริงๆ ไม่สามารถเข้าถึงอรรถ คือ ความหมายที่ละเอียดและลึกซึ้งของพระธรรมที่ทรงตรัสรู้ได้เลย

ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ได้มีความเข้าใจขึ้นในพระธรรมที่ทรงแสดง ย่อมเกิดศรัทธามากขึ้นๆ ทุกครั้ง ตามกำลังของความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น และรู้ถึงหนทางนี้ว่า เป็นหนทางที่แสนยากอย่างยิ่ง เพราะมักถูกโลภะ ความติดข้อง ชักนำไปสู่หนทางอื่นโดยง่าย ด้วยคิดว่า "เราทำได้" ไม่เข้าใจว่า ต้องเป็นปัญญา ที่ค่อยๆ อบรมเจริญขึ้น ด้วยการฟังและเข้าใจพระธรรม เท่านั้น

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ นอกจาก เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และ คิดนึก ซึ่งก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเอง แล้ว ยังจะมีอะไรที่จริงไปกว่านี้ ในขณะนี้? เพราะขณะนี้เท่านั้นที่มี ขณะอื่นๆ ดับหมดแล้ว!!! เมื่อวานนี้อยู่ที่ไหนในขณะนี้? เวียดนามที่ไปมาครึ่งเดือน อยู่ที่ไหนในขณะนี้!!! ขณะนี้ มีเพียง "คิด" เท่านั้น ที่มีจริง "สิ่งที่คิด" ไม่มีอยู่จริง

ขณะนี้ มีเพียงเห็น ไม่ว่าจะเป็นแป้นพิมพ์ ซึ่งเป็นเพียง "สิ่งที่ปรากฏทางตา" นิ้วที่กดลงบนแป้นพิมพ์ ซึ่งเป็นเพียง "แข็ง" ที่ปรากฏ กับ "ความคิด" ที่เป็นไปตามการสะสม เพื่อเล่าเรื่องต่างๆ ด้วยจิตที่คิดนึกถึงการที่จะสนทนากับผู้อ่าน ผ่านทางตัวหนังสือ ความจริงแล้ว นิ้ว มีไหม? แป้นพิมพ์ มีไหม? ตัวหนังสือ มีไหม? หรือมีเพียง สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ทางตา "แข็ง" ที่ไม่ใช่นิ้ว ไม่ใช่แป้นพิมพ์ เป็นแต่เพียง "แข็ง" เท่านั้น ที่ปรากฏ!! ขณะที่มีเพียง "แข็ง" ปรากฏ ที่คิดว่ามีคนทั้งตัว ตามที่เคยคิดนั้น อยู่ที่ไหน? ในเมื่อทรงตรัสรู้และทรงแสดงว่า จิตเกิดดับ ทีละหนึ่งขณะ ขณะที่ "แข็ง" ปรากฏ จะมีคนทั้งตัวดังที่เคยยึดถือ เคยคิด เคยเข้าใจนั้น มาแต่ไหน? เมื่อสัจจะ ความจริง เป็นเช่นนี้ แต่การที่บุคคลจะรู้ความจริงอย่างนี้ จนกระทั่งประจักษ์แจ้งความจริง ว่าเป็นแต่เพียงธาตุ หรือ ธรรม เท่านั้น ที่เกิดขึ้นและดับไป หามีตัวตน สัตว์ บุคคลใดไม่ นั้น อีกนานไหม?

"เสียง" ที่เป็นเพียงเสียง ที่ไม่ใช่เสียงแป้นพิมพ์ ไม่ใช่เสียงรถมอเตอร์ไซค์ ไม่ใช่ เสียงรถยนต์บนถนน ขณะที่ "เสียง" นั้นปรากฏ ก็เป็นแต่เพียง "เสียง" และ "นามธรรม" ที่ "รู้เสียง" เท่านั้น และ ที่กำลัง "คิดนึก" ไปในเรื่องราวต่างๆ ในขณะนี้ ก็เป็นจิต เป็นนามธรรม เป็นธาตุ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร ทั้งสิ้น ทั้งหมด เป็น "ธรรม" ที่เกิดขึ้นและดับไป อย่างรวดเร็วสุดที่จะประมาณได้ในทุกๆ ขณะนี้ สิ่งที่เกิดแล้ว ดับแล้วนั้น เป็นใคร? "เรา" อยู่ที่ไหน ในขณะนี้?

สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เป็นธรรมะแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นกระทำกิจหน้าที่ ตามเหตุตามปัจจัย เห็น เกิดขึ้นทำกิจคือ เห็น เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ทางตาเท่านั้น แล้วดับไป ได้ยิน เพียงเสียงที่ปรากฏทางหู แล้วดับไป ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย และคิดนึก ล้วนเป็นธรรมะแต่ละชนิด ที่เกิดขึ้นกระทำกิจหน้าที่แล้วดับไปทั้งสิ้น หามีสัตว์ บุคคลใดไม่ ผู้ที่ได้ฟังและเริ่มเข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดง ย่อมรู้ว่า แม้ "ปัญญา" ก็ย่อมเกิดขึ้น ทำกิจของปัญญา ตามเหตุ ตามปัจจัย ไม่มีผู้ใดสามารถทำให้ปัญญาเกิดได้

ปัญญา เป็น ธรรมะ และ ธรรมะทั้งหลาย ก็เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ตามที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงแล้ว การที่คิดว่า มีเรา ที่จะไปปฏิบัติ ไปทำ จึงเป็นความเห็นผิด ที่คิดว่า "มีเรา" และ "ทำได้" จึงไม่ใช่ "สัมมาทิฏฐิ" ความเห็นที่ถูกต้อง อันเป็นข้อแรกของ อริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งทรงแสดงไว้แล้วว่า เป็นหนทางเดียว ที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ เมื่อเริ่มต้นด้วยความเห็นผิด ความเข้าใจผิด ซึ่งเป็นมิจฉามรรค ตามที่ทรงแสดง ย่อมเป็นผู้ที่หันหลังให้กับ "หนทาง" ที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ "หนทาง" ที่ไม่อาจไปถึงได้ด้วย การทำ หรือ การปฏิบัติ แต่ ด้วยการฟังและเข้าใจพระธรรม ที่ทรงแสดงไว้ถึง ๔๕ พรรษา "ความเข้าใจ" นี้เอง เป็นหนทางให้บุคคลถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ ในวันหนึ่ง

ขอเชิญคลิกชม ภาพและรายละเอียด ของการเดินทางไปเคารพศพ และ ร่วมในพิธีเผาศพคุณตวน สมาชิกชมรมบ้านธัมมะเวียดนามที่เพิ่งเสียชีวิต ซึ่งได้นำเสนอเป็นตอนที่ ๓ [ตอนจบ] ตามลิงค์ทั้งหมดด้านล่างทั้ง ๓ ตอน โดยลำดับนะครับ

ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เยี่ยมไข้ผู้ป่วยหนักชาวเวียดนาม ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘

อันเนื่องมาจากการเดินทางไปเยี่ยมไข้ผู้ป่วยหนักชาวเวียดนาม ของท่านอาจารย์สุจินต์

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เดินทางไปร่วมในพิธีศพสมาชิกชมรมบ้านธัมมะเวียดนาม

หลังเสร็จสิ้นการเข้าร่วมในพิธีฯ ก็ได้ออกเดินทางต่อไปญาจาง (Nha Trang) ได้เห็นภาพ และ ความเป็นอยู่ของผู้คนในเมืองดาลัด จากหน้าต่างของรถที่แล่นผ่าน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่อยู่ดาลัด แทบจะไม่ได้สัมผัสเมืองแบบใกล้ชิด ชนิดที่เดินตะลอนๆ เลย มีชีวิตอยู่แต่บนเขาในป่าสนบนรีสอร์ท นอกจากจะเข้าเมืองเพื่อรับประทานอาหารบางมื้อ ซึ่งก็เพียงสองหรือสามครั้งเท่านั้น ถ้าจำไม่ผิด

มีอย่างหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าชอบและประทับใจในการเดินทางที่เวียดนามตลอดทริปนี้ คือ เรื่องรถบัสที่ทางบ้านธัมมะเวียดนามจัดมา ทุกคันเป็นรถใหม่มีสภาพที่ดีมาก สะอาด สวยงาม และที่สำคัญ แอร์เย็นดี ไม่มีปัญหาเลย พนักงานขับรถและผู้ช่วยก็ดีเยี่ยม ทำให้การเดินทางของเรา เป็นไปด้วยความรื่นรมย์ สะดวกสบายมากๆ ครับ

(ภาพสถานีรถไฟเก่าแก่ของดาลัด สมัยอาณานิคมฝรั่งเศส) เมื่อรถแล่นออกนอกเมือง ก็พบว่าสองข้างทางมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ด้วยป่าสนเขียวขจี ทราบว่าดาลัด นอกจากจะเป็นเมืองตากอากาศที่สวยงามขึ้นชื่อของเวียดนามแล้ว ยังเป็นสถานที่ปลูกไม้ดอกไม้ประดับ ผักสดและผลไม้เมืองหนาว นานาชนิด ส่งไปขายทั่วเวียดนามอีกด้วย เนื่องจากภูมิประเทศอยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเลราว ๑,๖๐๐ เมตร ตลอดสองข้างทาง จะเห็นภาพของป่าสนสามใบมากมาย แซมไปด้วยแปลงผักชนิดต่างๆ เช่น กระหล่ำปลี และผลไม้เช่นสตอเบอรี่ มะเขือเทศ เป็นต้น

จากที่ได้สัมผัสเวียดนามในระยะเวลาไม่นาน และ การที่ได้สนทนากับอาจารย์สงบ เชื้อทอง ซึ่งท่านได้เดินทางมาเวียดนามหลายครั้งแล้ว มีความเห็นตรงกันว่า เวียดนามมีทรัพยากรที่หลากหลาย และ อุดมสมบูรณ์ มีแหล่งท่องเที่ยวที่ยังบริสุทธิ์ คงความเป็นเป็นธรรมชาติดั้งเดิมอยู่มาก ไม่ถูกแต่งเติมจากความเจริญของวัตถุจนเกินพอดี มีชายทะเลที่มีทิวทัศน์สวยงาม ตลอดแนวยาวของประเทศจากเหนือจรดใต้นับพันกิโลเมตร ผู้คนก็น่ารัก อาหารการกินก็หลากหลาย จากที่ตนเองเคยคิดว่าไม่สนใจที่อยากจะมา ความคิดนั้น ถึงวันนี้กลับเปลี่ยนไป ใคร่ที่จะได้ไปยังเมืองอื่นๆ ในวาระอื่นๆ อีก เมื่อมีโอกาส และแน่นอนว่า โอกาสที่ข้าพเจ้าว่านั้น ต้องเป็นไปกับการมาของท่านอาจารย์ด้วย เพราะเป็นโอกาสที่เลิศที่สุดของการที่ ไม่เพียงได้พบเห็นสิ่งดีๆ ที่สวยงามเท่านั้น แต่โอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับพระธรรมไปด้วยพร้อมกันนั้น ยากที่จะหาได้ในสังสารวัฏฏ์

ทางระหว่างดาลัดถึงญาจาง ต้องผ่านเทือกเขาที่แม้ไม่สูงชัน แต่มีบางช่วงที่วิ่งผ่านไหล่เขาสูง มีฝนตกบางช่วง และ มีบางช่วงที่มีหินหล่นจากยอดเขาตกลงมาบนถนนด้วย ซึ่งก็ทำให้คิดไปว่า ถ้าหล่นลงมาขณะที่รถกำลังแล่นผ่าน คงน่าระทึกใจทุกคนไม่น้อย ความจริงทำให้พิจารณาได้ว่า ไม่ใช่เราจะพบแต่เพียงสิ่งที่ดี ที่สวยงาม ที่พอใจ เท่านั้น ชีวิตก็ย่อมมี ย่อมพบ สิ่งที่ไม่น่ายินดี ไม่น่าพอใจด้วย เป็นปรกติ เป็นธรรมดา ผู้ที่พานพบแต่สิ่งที่ดีโดยส่วนเดียว เห็นจะไม่มีในโลกเป็นแน่ เพราะเหตุว่า คงไม่มีใครที่ไม่เคยประกอบอกุศลกรรม อันจะเป็นเหตุให้ไม่มีอกุศลวิบากเลย ในตลอดสังสาระอันยาวนานนี้

เมื่อเข้าเขตภูเขาสูงของญาจาง จะพบเห็นไร่กาแฟสองข้างทางมากมาย นี่คงเป็นเหตุที่เพื่อนๆ สหายธรรมทั้งชาวไทยและชาวเวียดนามชวนให้ซื้อกาแฟ เนื่องจากข้าพเจ้าไม่ค่อยชอบออกไปชอปปิ้งที่ไหนๆ เหมือนสาวๆ ที่ไปกันบ่อยๆ เป็นปกติ ที่ญาจาง ได้เดินเล่นชมในตัวเมืองเพียงครั้งเดียว ในตอนค่ำ พี่ป้อมมณี ซึ่งได้กาแฟ ยี่ห้อ G7 ที่เป็นชนิดสำเร็จรูปแบบซองชนิดผง (ไม่ใช่ทรีอินวัน) มามาก ได้กรุณาแบ่งให้ข้าพเจ้า ซึ่งตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่าจะชอบหรือไม่ จึงไม่ได้แบ่งมามาก คราวหน้าถ้ามีโอกาส คงต้องขอเพิ่มมากหน่อย เพราะเมื่อชิมไปหลายซอง จึงรู้ว่าใช้ได้ ที่ว่าใช้ได้ หมายความว่า ใช้เป็นของที่ตนเองดื่มด้วยความชอบส่วนตัวได้ หาใช่มาตรฐานที่จะไปแนะนำใครๆ เพราะไม่ใช่ผู้สันทัดกรณี และไม่บังอาจเช่นนั้น ข้าพเจ้าดื่มกาแฟผสมผงโกโก้ ใส่น้ำเยอะๆ ไม่ใส่อะไรอื่นอีก ให้เป็นเพียงเครื่องดื่มร้อนๆ เพื่อความมีรสชาติของชีวิตก็เท่านั้น ไม่เช่นนั้นชีวิตจะเย็นชืดจนเกินไป ควรมีของร้อนๆ บ้าง หมายถึงกาแฟ และ เครื่องดื่มร้อนๆ เท่านั้นนะครับ ไม่ใช่เรื่องร้อนอื่นๆ

ก่อนถึง ญาจางราวสามสิบกิโลเมตร ได้แวะพักชมวิวข้างทาง ซึ่งเป็นร้านอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อให้ทุกท่านได้พักผ่อนและเข้าห้องน้ำด้วย แม้จะเลยเวลาอาหารกลางวันแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับประทานอาหาร เนื่องจากทางผู้จัดได้เตรียมการไว้แล้ว ที่ห้องอาหารของโรงแรมที่เราจะเข้าพักในตลอดเวลา ๗ วันที่ ญาจาง

ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนๆ ก็มักจะเห็นภาพของการสนทนาธรรม ในทุกโอกาส สำหรับผู้ศึกษาธรรม เมื่อมีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น ย่อมเป็นผู้ที่น้อมไปสู่คลองของพระธรรมโดยบ่อย ตามกำลังของความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นนั้น เป็นผู้ที่รู้ว่า สิ่งใดอื่น ที่จะมีสาระเท่ากับความเข้าใจพระธรรมนั้น หามีไม่

.........

" ชนเหล่าใด มีปกติรู้ในสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ และเห็นในสิ่งอันเป็นสาระว่า ไม่เป็นสาระ ชนเหล่านั้น มีความดำริผิดเป็นโคจร ย่อมไม่ประสพสิ่งอันเป็นสาระ. ชนเหล่าใด รู้สิ่งเป็นสาระ โดยความเป็นสาระ และสิ่งไม่เป็นสาระโดยความไม่เป็นสาระ ชนเหล่านั้น มีความดำริชอบเป็นโคจร ย่อมประสพสิ่งเป็นสาระ."

(พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ หน้า ๑๑๖)

และแล้วเราก็เดินทางถึง ญาจาง ในวิกิพีเดีย ได้กล่าวถึงเมืองชายทะลที่สวยงามของเวียดนามแห่งนี้ไว้ว่า

" ญาจาง (เวียดนาม: Nha Trang, ออกเสียง [ɲaː˧ ʈʂaːŋ˧]) เป็นเมืองท่องเที่ยวทางทะเล อยู่ในจังหวัดคั้ญฮหว่า ประเทศเวียดนาม มีชายหาดและทะเลที่เหมาะแก่การดำน้ำ ชื่อ ญาจาง คนมักอ่านเป็น นาตรัง หรือ หน่าตรัง เพราะเข้าใจว่าตัวเขียนเป็นภาษาอังกฤษ แต่ที่จริงเป็นภาษาเวียดนาม บริเวณเมืองเคยเป็นส่วนของอาณาจักรจามปา ซึ่งมีหลักฐานเป็นปราสาทหินแบบจามที่หลงเหลืออยู่ "

หลังรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ก็เป็นเวลาของการพักผ่อนของทุกท่าน ในห้องพักที่แสนสบาย มองเห็นทะเลสีคราม กับโค้งหาดแสนสวยจากหน้าต่างของห้องพัก เป็นมุมที่สามารถมองเห็นทั้งทะเลและตัวเมืองญาจาง ที่เต็มไปด้วยแสงสี ในยามค่ำคืนอีกด้วย

หลังจากที่ได้พักผ่อนจนคลายเมื่อยจากการเดินทาง จนสดชื่นขึ้นแล้ว ตอนค่ำ เรามีนัดกับเพื่อนๆ สหายธรรมชาวบ้านธัมมะเวียดนาม ซึ่งพักอยู่ที่โรงแรมใกล้กัน ห่างกันก็เพียงซอยข้างโรงแรมกั้นไว้เท่านั้น ซึ่งพี่แดงบอกว่า เขาเชิญพวกเราไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน

เมื่อไปถึง ก็พบเพื่อนๆ น้องๆ ลูกๆ หลานๆ ชาวเวียดนามผู้ใจดี ได้เตรียมอาหารเย็น อันที่จริงข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าอาหาร หรือ ของว่าง หรือของทานเล่น (ที่ทานจริงๆ ) ดี เพราะเป็นลักษณะขนมครก ที่เป็นแป้งข้าวจ้าวจืดๆ บางอันก็ใส่ใข่นกกระทาด้วย รับประทานกับน้ำจิ้มรสชาติกลมกล่อมไม่เค็มไม่หวาน มีต้นหอมซอยอยู่ในน้ำจิ้มด้วย รับประทานร้อนๆ อร่อยดีครับ อีกอย่างหนึ่งเป็นคล้ายๆ ปั้นขลิบสด มีใส้กุ้งแห้งด้วย ตัวแป้งน่าจะทำจากแป้งมันล้วน จึงค่อนข้างเหนียว เวลารับประทาน จะราดใบหอมซอย ที่ผัดน้ำมันเล็กน้อย และ มีน้ำส้มพริกดองแบบที่ใส่ขนมกุยช่ายบ้านเรา ราดลงไปแบบเดียวกัน

เป็นปาร์ตี้ยามเย็น ที่สนุกสนาน ในบรรยากาศที่เป็นกันเองอย่างยิ่ง ให้เห็นความเรียบง่าย เป็นชีวิตจริงๆ ที่ถ้าหากเดินทางมากับคณะทัวร์ คงไม่ได้พบเช่นนี้แน่ พี่ๆ น้องๆ สหายธรรมชาวเวียดนาม ตั้งอกตั้งใจบริการพวกเราทุกคนอย่างเต็มที่ ได้เห็นสีหน้าและแววตาแห่งไมตรีจิตและมิตรภาพ ทำให้รู้สึกอบอุ่นเหมือนญาติ อันที่จริงเราก็เป็นญาติ เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้องกันมาแล้วแน่นอน เพราะสังสาระยาวนาน และการได้พบกัน ก็เพราะบุญที่เคยได้กระทำไว้แต่ปางก่อน เมื่อได้พบกัน ก็ใช้เวลาไม่นาน ที่จะทำให้ความรู้สึกเหมือนญาติสนิทมิตรสหายนั้นกลับคืนมา

[เล่มที่ 30] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ ๗-๘

อุปัฑฒสูตร

ความเป็นผู้มีมิตรดี เป็นพรหมจรรย์

[๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ นิคมของชาวสักยะชื่อ สักกระ ในแคว้นสักกะของชาวศากยะทั้งหลาย ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดีนี้เป็นกึ่งหนึ่งแห่งพรหมจรรย์เทียวนะ พระเจ้าข้า.

[๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าดูก่อนอานนท์ เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น ก็ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี นี้เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้นทีเดียว ดูก่อนอานนท์ อันภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘จักกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘.

[๖] ดูก่อนอานนท์ ก็ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี ย่อมเจริญอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างไรเล่า ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิอันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ย่อมเจริญ สัมมาสังกัปปะ. . . สัมมาวาจา. . . สัมมากัมมันตะ. . .สัมมาอาชีวะ. . . สัมมาวายามะ . . . สัมมาสติ. . . สัมมาสมาธิอันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ดูก่อนอานนท์ ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี ย่อมเจริญอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมกระทำได้มากซึ่งอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างนี้แล.

[๗] ดูก่อนอานนท์ ข้อว่า ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดีเป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้นทีเดียวนั้น พึงทราบโดยปริยายแม้นี้ ด้วยว่าเหล่าสัตว์ ผู้มีชาติเป็นธรรมดา ย่อมพ้นไปจากชาติ ผู้มีชราเป็นธรรมดา ย่อมพ้นไปจากชราผู้มีมรณะเป็นธรรมดา ย่อมพ้นไปจากมรณะ ผู้มีโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส เป็นธรรมดา ย่อมพ้นไปจาก โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสเพราะอาศัยเราผู้เป็นกัลยาณมิตร ดูก่อนอานนท์ ข้อว่า ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดีเป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้นทีเดียวนั้น พึงทราบโดยปริยายนี้แล.

........................จบอุปัฑฒสูตรที่ ๒........................

.....ณ กาลครั้งหนึ่ง.....

ที่ เมืองญาจาง ประเทศเวียดนาม

๑๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของสมาชิกชมรม บ้านธัมมะเวียดนาม ทุกท่าน

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


ท่านสามารถคลิกอ่านกระทู้ทั้งหมดในครั้งนี้ ตามลิงก์แต่ละหัวข้อด้านล่าง :

- ณ กาลครั้งหนึ่ง (สด) จากประเทศเวียดนาม ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง (สด) จากประเทศเวียดนาม ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๒]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง (สด) จากประเทศเวียดนาม ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๓]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง (สด) จากประเทศเวียดนาม ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๔]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๕ ดาลัด]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๖ ดาลัด]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๗ ดาลัด]

- ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เยี่ยมไข้ผู้ป่วยหนักชาวเวียดนาม ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘

- อันเนื่องมาจากการเดินทางไปเยี่ยมไข้ผู้ป่วยหนักชาวเวียดนาม ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

- ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เดินทางไปร่วมในพิธีศพสมาชิกชมรมบ้านธัมมะเวียดนาม

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๘ ดาลัด-ญาจาง]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๙ ญาจาง]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๐ ญาจาง]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๑ ญาจาง]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๒ ญาจาง]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๓ ญาจาง พักผ่อนและสนทนาธรรมก่อนกลับ]



ความคิดเห็น 1    โดย khampan.a  วันที่ 3 มิ.ย. 2558

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของสมาชิกชมรม บ้านธัมมะเวียดนาม ทุกท่าน

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง ครับ

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


ความคิดเห็น 2    โดย j.jim  วันที่ 4 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย ch.  วันที่ 4 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย pat_jesty  วันที่ 4 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย napachant  วันที่ 4 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย เมตตา  วันที่ 4 มิ.ย. 2558

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ก็ควรที่จะน้อมไปสู่การ "ทำดีและศึกษาพระธรรม"

ตามที่ท่านอาจารย์ได้มอบวลีอันมีค่ายิ่งนี้ไว้ให้กับชมรมบ้านธัมมะ มศพ.

ไม่ใช่การอยากจะอยู่ หรือ อยากจะไป เพื่อเข้าใจธรรม แต่อยู่ที่ไหนๆ ก็เข้าใจธรรมได้

ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของสมาชิกชมรม บ้านธัมมะเวียดนาม ทุกท่าน

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ คุณน้องวันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง ค่ะ

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย kullawat  วันที่ 5 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย ms.pimpaka  วันที่ 6 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ