มีคำถามหลายข้อปรารถนาได้รับเมตตาอธิบายค่ะ
1.ได้ฟังการบรรยายธรรมว่า ปรมัตถธรรม คำนี้ไม่มีในพระไตรปิฏก ไม่ใช่คำตถาคต เป็นเช่นนั้นจริงอยู่หรือค่ะ
2.84,000 พระธรรมขันธ์ก็เช่นกัน เรียนถามเช่นเดียวกับคำถามที่ 1 ค่ะ
3.ดิฉันได้ให้ทานในศาสนิกอื่น (โดยพิจารณา จากการเคยอ่านเรื่องทศบารมี ว่าพุทธองค์ให้ให้ทานประดุจคว่ำหม้อน้ำ น้ำจะไหลไปทางใดๆ ก็ให้เป็นไป) ได้แก่เมื่อเพื่อนมุสลิมบอกบุญวันเด็ก หรือบุญของมัสยิด บุญเพื่อนักศึกษามุสลิม เช่นนี้ดิฉันถูกถือว่าเป็นอุบาสิกาจันฑาลตามปรากฏในข้อ 5 เรื่องอุบาสิกาจันฑาลหรือไม่ค่ะ
รอคอยเมตตาการให้ความกระจ่างนะคะ ขอบคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
จริงอยู่ บรรดาปิฎกทั้ง ๓ นี้ พระวินัยปิฎก เรียกว่าอาณาเทศนา เพราะ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ควรแก่การใช้อำนาจ (อาณา) ทรงแสดงมากไปด้วยอาณา (อำนาจ) พระสุตตันตปิฎก เรียกว่า โวหารเทศนา เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเป็นผู้ฉลาดในโวหาร (บัญญัติศัพท์) ทรงแสดงมากไปด้วยโวหาร พระอภิธรรมปิฎก เรียกว่า ปรมัตถเทศนา เพราะความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ฉลาดในปรมัตถธรรม ทรงแสดงมากไปด้วยปรมัตถธรรม
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ
พระพุทธพจน์มี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ส่วนการให้ทานดั่งหม้อคว่ำ คือ ให้จนหมดไม่เหลือ เปรียบเหมือนน้ำทึ่ราดบนหม้อที่คว่ำแล้ว น้ำย่อมไม่ติดบนหม้ออีกเลย ส่วนการให้กับศาสนาอื่น หากเป็นการให้ที่มุ่งเจาะจงในศาสนานั้น สนับสนุนศาสนาอื่น เข้ากับข้อ 5 แต่ถ้าให้ที่อนุเคราะห์ช่วยเหลือทั่วไป ไม่เป็น ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จริงที่สุด คือ ปรมัตถธรรม มี ๔ ประการ คือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่ใช่สภาพรู้) และ พระนิพพาน ทั้งหมดนั้น เป็นสภาพธรรมทีี่่มีจริง ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะเป็นอย่างอื่น เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง สามารถพิสูจน์ได้ทุกขณะว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าจะได้เห็นได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ดีใจ เสียใจ ติดข้องยินดีพอใจ หงุดหงิดโกรธขุ่นเคือง ไม่พอใจ เป็นต้น ล้วนเป็นธรรมทั้งหมด, ธรรม ไม่ได้หมายถึงเพียงสภาพธรรมฝ่ายดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่หมายรวมถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ชีวิตประจำวันที่ดำเนินไปนั้นไม่พ้นไปจากธรรมเลย เมื่อไม่ได้ศึกษา ย่อมไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเป็นธรรม เพราะแท้ที่จริงแล้ว ทุกขณะเป็นธรรม มีจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และ รูป เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา
สิ่งที่มีจริง ทั้งหมด เป็นปรมัตถธรรม ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น และสิ่งที่มีจริงเหล่านี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเพื่อให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง ต้องมั่นคงจริงๆ ในความเป็นจริงของสภาพธรรม เช่น เห็น ขณะนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้รู้ตามความเป็นจริงไหม? ทรงแสดง เพราะในพระไตรปิฎก จะมีคำว่า จักขุวิญญาณ และ จักขุวิญญาณ มีจริงๆ ไหม? ก็มีจริงๆ แล้วเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม? ก็ไม่ได้ แล้วจะเรียกสิ่งนี้ว่าอย่างไร ถ้าไม่เรียกว่าเป็นปรมัตถธรรม
ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ การศึกษาธรรม เป็นการศึกษาถึงสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เนื่องจากคุ้นเคยกับความเป็นตัวตน คุ้นเคยกับความเป็นเรา พร้อมทั้งได้สะสมความไม่รู้มาอย่างเนิ่นนาน จึงหลงยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นต้วตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรา ดังนั้น ธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้นจึงควรที่จะศึกษา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อละคลายความไม่รู้ ละความเห็นผิดในสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ในที่สุด
-พระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ตลอด ๔๕ พรรษา มีมากมายนับไม่ถ้วน เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาอย่างแท้จริง และ ที่ได้ยินได้ฟัง ฟังซ้ำๆ แล้วๆ แล้วๆ ก็ไม่พ้นไปจากการฟังในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ซึ่งถ้าไม่ฟังพระธรรมเลย ย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ได้เลย ครับ
-การให้ทาน ให้เพื่ออนุเคราะห์ สงเคราะห์ ได้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เพราะคนที่ควรแก่การรับทานนั้นมีมาก เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลต่อผู้อื่น ไม่ใช่การส่งเสริมในความเห็นที่ผิด ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบขอบพระคุณมากค่ะ อ่านแล้วเข้าใจ ดีใจและสบายใจขึ้นเยอะค่ะ
ขออนุญาตขยายความรู้สึกส่วนตัวของปุถุชนนะคะ ว่า การที่มีพระคุณเจ้าผู้แสดงพุทธวจน และยืนยันว่าไม่มีคำว่าปรมัตถธรรมและ 84,000พระธรรมขันธ์ ในพระไตรปิฎก ทั้ง2เป็นคำอาจารย์ไม่ใช่คำตถาคต และถามผู้ฟังให้พิจารณา ว่าจะเชื่ออะไร และเมื่อค้นไปในonlineพระไตรปิฎกของwebวัดนั้นก็ไม่พบจริงๆ ด้วย ทำให้ผู้ฟังอึ้งไปเลยและ คิดปรุงอะไรต่ออะไรเยอะมาก
และส่วนเรื่องการให้ทานในศาสนิกอื่นก็เช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่การให้ด้วยเป็นทาน และยืนยันตามตัวอักษรว่าเป็น อุบาสกจัณฑาลเช่นนี้ต่อไปอาจเป็นสาเหตุให้ประเทศของเราชาวพุทธจะแยกตัวจากการอยู่อย่างพึ่งพาอาศัยด้วยดีกับเพื่อนในศาสนิกอื่น