"เข็ดหรือยังค่ะ"
เป็นคำถามที่อ.สุจินต์ถามผู้ร่วมสนทนาธรรมเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เนื่องจากพระสูตรว่าด้วย ทุกขเวทนา (ทางกายและใจ) ดั่งลูกศร ๒ ดอก
น้อมพิจารณา
เหตุนำ เกิดซ้ำๆ เจ็บซ้ำๆ แก่ซ้ำๆ ตายซ้ำๆ
พลัดพรากซ้ำๆ
รับทุกข์กายทุกข์ใจซ้ำๆ
ชีวิตสามวันดี สี่วันไข้
สภาพธรรมที่ผันผวน แปรปรวน ไม่เที่ยง สลับไปมา
เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย
กินนอน ขับถ่าย โรค (ทางกาย+กิเลสในใจ) เบียดเบียน
ทุกข์จริง ทุกข์หลอก
เข็ดหรือยังค่ะ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓
ขันธ์ ๕ เป็นภาระ [ภารสูตรและอรรถกถา]
กราบอนุโมทนา
ถ้าเลือกได้ ก็ไม่อยากเกิดอีกแล้ว ไม่กลัวตาย เพราะเกิดแล้ว ต้องตาย แต่กลัวเกิด ไม่รู้ว่าจะไปเกิดภพชาติไหน
ถ้า... เข็ด หมายความว่า กลัวจนไม่กล้าทำหรือประสบ..เช่นนี้อีก ในขณะที่ได้รับผลของการกระทำที่ไม่น่าพอใจ..เป็นทุกข์...รู้ว่าเป็นผลของกรรม...ขณะนั้น เข็ดแต่เป็นเข็ดชั่วคราว..เพราะถึงแม้ตั้งใจว่าจะไม่ทำอกุศลอีก...แต่พืชเชื้อของอกุศลยังมีได้เหตุปัจจัย ก็ทำอีก...ลืมความเข็ดในขณะที่ได้รับสิ่งที่พอใจ...ไม่มีคำว่าเข็ด..มีแต่ไม่พอถ้าไม่มีพระธรรม..จะไม่คิดถึง...คำว่าเข็ดเลยทั้งที่จริงๆ แล้ว...ความพอใจ..ความติดข้อง..ก็ทำให้วนเวียน.. ในความสุข..ความทุกข์ไม่สิ้นสุด....เพื่อรับผลของกรรม...อีกนานแสนนาน..คิดแล้วเข็ดคะ
ขออนุโมทนาคะ
ขออนุโมทนาครับ
เข็ดไหมเป็นเรื่องของคนที่มีปัญญาจริงๆ สำหรับเรายังไม่มีปัญญา เราก็ยังไม่เข็ด ถ้าอาหารอร่อย ก็ไม่เข็ดอยากทานอีก ถ้ามีความสุขสบายชอบก็ไม่เข็ดอยากมีอีก ถึงแม้ว่าตามการศึกษารู้ว่าสุขก็ไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปก็ทุกข์ก็เป็นเพียงปัญญาขั้นการฟัง ยังไม่ใช่ปัญญาที่เห็นโทษภัยจริงๆ แต่ก็สามารถอบรมปัญญาให้ยิ่งขึ้นด้วยการฟังธรรมค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
เข็ดหรือยัง...ที่ยึดธรรมะว่าเป็นตัวตน
ขออนุโมทนาครับ
จากความคิดเห็นที่ 5 โดย wannee.s
เข็ดไหมเป็นเรื่องของคนที่มีปัญญาจริงๆ
สำหรับเรายังไม่มีปัญญา เราก็ยังไม่เข็ด
การเข็ด เป็นการรู้ทุกข์ และเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ซึ่งต้องเป็นผู้มีปัญญาจริงๆ จึงจะรู้ว่าหนทางที่จะไม่ต้องกลับมาเป็นอย่างนี้อีก คืออย่างไร และเดินไปตามทางนั้น ส่วนผู้ที่ยังไม่รู้สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ คงยังไม่ "เข็ด" แต่แค่ "กลัว" ทุกข์เท่านั้น และเมื่อไม่รู้หนทางก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการกลับมาเป็นอย่างนี้อีก จึงชื่อว่า ยังไม่เข็ด
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
เข็ดหรือยังค่ะ
ในขั้นการฟังพระธรรมและพอเข้าใจได้บ้างว่า การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฎฎะนั้น เป็นทุกข์จริงๆ ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ต้องพลัดพรากจากคนที่รักชาติแล้วชาติเล่า เข็ดจริงๆ ค่ะ แต่ไม่ได้เข็ดด้วยปัญญาที่ประจักษ์ในทุกข์..... แต่เข็ดด้วยความคิดที่เห็นว่า เกิดซ้ำๆ เจ็บซ้ำๆ แก่ซ้ำๆ ตายซ้ำๆ พลัดพรากซ้ำๆ เป็นทุกข์อย่างยิ่งค่ะ จะได้ไม่เป็นผู้ประมาทบ่อยๆ และเพลิดเพลินไปกับกิเลสที่สะสมมานานแสนนาน...เมื่อทุกข์กายเพราะผลของกรรมก็เกิดโทสะ มีความโทรมมนัสอย่างมาก ก็หันไปแสวงหากามสุข ก็เพราะความไม่รู้ ....ราคานุสัย ปฎิฆานุสัย และอวิชชานุสัย
ขออนุโมทนาค่ะ
ขั้นฟัง เข้าใจได้ว่า ขันธ์ ๕ เป็นภาระที่ต้องแบกหนักมากๆ ๆ ๆ
แต่ปัญญาขั้นรู้ความจริงยังไม่เกิด
จึง เข็ดไม่จริง สลับกับ ยังไม่เข็ด
จนกว่าปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้น
แล้ว ปัญญา จะทำหน้าที่ เข็ด แน่นอน
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ไม่เข็ดกันง่ายๆ หรอกค่ะ......เชื่อดิ .. @_@
สาธุ
ขออนุโมทนาครับ
เห็นด้วยกับคุณ wannee.s คุณ K คุณ เมตตา คุณ orawan.c และคุณไตรสรณคมน์ ค่ะตอนทุกข์สาหัสก็พรำว่า เข็ดแล้วหนอ ไม่อยากเกิดอีก ตอนสุขก็แอบคิดว่าทำดีมากๆ จะได้เกิดมามีความสุข
อีกนาน...หนอ...
จะเข็ดง่ายๆ ได้ยังไง โลภะละได้ด้วยอรหันต์ มานะละได้ด้วยอรหันต์ ทิฏฐิละได้ด้วยโสดาบัน และก็ยังไม่หมดสิ้น ยังมีตัณหา ทิฏฐิ มานะอยู่ มารเขาไม่ต้องชวนเขาแค่มองที่ลูกตาแล้วก็ยิ้มๆ เราก็เป็นบริวารเขาแล้ว ฟังธรรมต่อจนมีกำลังให้สังขารเขาทำหน้าที่ละ ก็จะได้ไม่ต้องคำนึงว่าจะเข็ดหรือไม่เข็ด ครับ
อยากจะเข็ด ดูเหมือนจะเข็ด แต่...ไม่เข็ด
อ้างอิงจาก ความเห็นที่ 1 เดี๋ยวบาปนะ !! ทศพล.com
ความไม่รู้ ไม่เคยปราณีใคร
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ