จากบันทึกการสนทนาธรรมที่ K'Lan Eco Resort ดาลัด วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ท่านอาจารย์สุจินต์ กล่าวว่า "การเข้าสู่กระแสตรัสรู้ 4 (วุฒิธรรม 4) คือ การพบสัตบุรุษ ได้ฟังธรรมของท่าน ใส่ใจในธรรมโดยอุบายอันแยบคาย และปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม"
ใคร่ช่วยกรุณาอธิบายเพิ่มเติมว่า "ใส่ใจในธรรมโดยอุบายอันแยบคาย" นั้น
๑) หมายถึงเฉพาะใส่ใจในปรมัตถธรรม หรือรวมถึงสมมติธรรมด้วย
๒) อย่างไรจึงเป็นโดยอุบายอันแยบคาย และ
๓) อุบายอันแยบคายนั้นใช้ได้กับทั้งปรมัตถธรรมและสมมติธรรมใช่หรือใม่
ขอขอบพระคุณ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
โยนิโสมนสิการ ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ซึ่งองค์ธรรม คือ มนสิการเจตสิก หากเป็นการใส่ใจด้วยดีที่เกิดกับจิตที่ดี ก็เป็นโยนิโสมนสิการ ส่วนการใส่ใจไม่ดี คือ เกิดกับอกุศลจิต ก็เป็นอโยนิโสมนสิการ ซึ่งขณะที่เป็นโยนิโสมนสิการ คือ ขณะที่จิตที่ดีเกิดขึ้น มีกุศลจิต เป็นต้น มีโยนิโสมนสิการแล้ว โดยไม่มีเราที่จะไปโยนิโส ไปทำโยนิโสมนสิการ แต่เมื่อใดกุศลจิตเกิด แสดงแล้วว่ามีโยนิโสมนสิการ หากไม่ใส่ใจด้วยดี กุศลจิตก็เกิดไม่ได้
โดยนัยตรงกันข้าม ขณะที่อกุศลจิตเกิด ไม่ได้คิดเลยว่า จะทำอโยนิโส แต่อโยนิโสมนสิการก็เกิดแล้ว แสดงถึงการทำหน้าที่ของธรรมและเป็นอนัตตา ที่บังคับบัญชาไม่ได้เลย ครับ
โยนิโสมนสิการใส่ใจอย่างถูกต้อง เป็นกุศล ไม่ใช่สิ่งที่จะบังคับบัญชาให้เกิดขึ้นได้ตามต้องการ เพราะเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ขณะที่กุศลจิตเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นในระดับใด นั่นก็คือ โยนิโสมนสิการ แม้ในขณะที่สติปัฏฐานเกิด ก็มีโยนิโสมนสิการพร้อมกับสติปัญญาและโสภณธรรมอื่นๆ โดยที่ไม่ต้องไปทำโยนิโสฯ เลย เพราะเกิดขึ้นแล้วในขณะนั้น กุศลจะเกิดขึ้นไปได้ ก็เพราะใส่ใจด้วยดี ถูกต้อง ซึ่งจะตรงกันข้ามกับขณะที่เป็นอกุศลอย่างสิ้นเชิง เมื่อมีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ก็จะอุปการะเกื้อกูลให้ความดีเจริญขึ้น ทั้งทาน ศีล และ ภาวนา ซึ่งภาวนานั้น ไม่ใช่การท่องบ่น แต่เป็นการอบรมเจริญคุณความดีให้มีขึ้นเจริญขึ้น จากที่มีแล้วก็เจริญยิ่งขึ้น ซึ่งจะขาดปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกไม่ได้เลย สำคัญอยู่ที่ปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกจริงๆ ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ถ้าไม่ได้ฟังไม่ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้สภาพธรรมทุกอย่างตามความเป็นจริงแล้วทรงแสดงให้ผู้อื่นได้รู้ตาม ก็ไม่สามารถที่จะมีความเข้าใจถูกเห็นถูกได้เลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การเริ่มฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่ละเลยโอกาสที่สำคัญในชีวิตซึ่งเป็นขณะที่หาได้ยาก
สภาพธรรม มีมากมาย แต่ก็เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่างๆ โดยไม่ปะปนกัน เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะเป็นอย่างอื่น ที่จะมีความเข้าใจถูกเห็นถูกนั้น ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรม เป็นสำคัญ และ เมื่อได้ยินได้ฟังความจริงประโยชน์อยู่ที่ความเข้าใจถูกเห็นถูก และอีกประการหนึ่ง เข้าใจธรรมในภาษาของตนๆ เพราะแต่ละคำที่ได้ยินได้ฟังนั้น ล้วนส่องให้เข้าใจถึงตัวจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ โดยไม่จำเป็นต้องกลับเป็นภาษาบาลีก็ได้ แม้แต่ที่กล่าวถึง "การพิจารณาโดยแยบคาย" เป็นธรรมที่มีจริง ตรงกับคำว่า "โยนิโสมนสิการ" ซึ่งไม่ใช่เรื่องทำ แต่เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ตามปกติแล้ว มนสิการ เป็นสภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิตทุกขณะ เป็นสภาพธรรมที่ใส่ใจในอารมณ์ ถ้าเกิดกับกุศลจิต ก็เป็นโยนิโสมนสิการ เป็นการใส่ใจด้วยดี ถูกต้องแยบคาย แต่ถ้าเกิดร่วมกับอกุศลจิต ก็เป็น อโยนิโสมนสิการ ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงเพราะไม่ใส่ใจอย่างถูกต้องจึงทำให้จิตเป็นอกุศล ที่สำคัญ โยนิโสมนสิการ ไม่ใช่ปัญญา เป็นสภาพธรรมคนละอย่างกัน แต่เพราะอาศัยการใส่ใจด้วยดี จึงทำให้จิตเป็นกุศล และเกื้อกูลต่อความเจริญขึ้นของปัญญา ได้ ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
โยนิโสมนสิการเป็นนิมิตแห่งอริยมรรค [ปฐมโยนิโสมนสิการสัมปทาสูตร]
โยนิโสมนสิการ [การทำไว้ในใจโดยถูกทาง]
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนา
เข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังหมายถึงอะไร ฟังเรื่องราวทั้งหมดเพื่อเข้าใจธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมเพราะแต่ละคำแสดงถึงปรมัตถธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ และถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจก็ไม่ใช่ใส่ใจในธรรมโดยแยบคาย ค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ