ผมเคยตั้งกระทู้เรื่อง ปรามาสพระรัตนตรัย เมื่อเดือนที่แล้ว แต่อยากจะถามและเวลานั่งสมาธิ แล้วจิตมันทะลึ่งคิดไปเองภาพลามกต่างๆ มาประสมโรง ซึ่งผมก็ขอขมาทันที แต่เวลาขอมาแล้วมันจะมาใหม่เรื่อยๆ ซึ่งก็ต้องขอขมาซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็ไม่ได้นั่งสมาธิซักที แต่ถ้าหยุดปล่อยความคิดให้มันผ่านไปเอง มันก็จะสงบของมันไปเอง ทำไมเป็นแบบนั้น เอาเป็นว่าถ้าระหว่างนั่งสมาธิ แล้วมีความคิดเช่นนี้เกิดขึ้น เราขอขมาหลังทำสมาธิเสร็จได้ไหม ขอเป็น 2 คำถามนะครับ
1. เวลามีความคิดปรามาส ยิ่งขอขมาถี่ๆ มันยิ่งมาเหมือนย้ำคิดย้ำทำ แต่เมื่อเวลาเราดูมันเฉยๆ กับสงบไปเอง ทำเป็นแบบนั้น
2. เวลาเราทำสมาธิ เมื่อเกิดความคิดอกุศล ไม่ว่าจะภาพทะลึ่งอะไรก็ตาม เราขอขมาหลังทำสมาธิเสร็จได้ไหม ถ้าไม่งั้นรู้สึกว่ามันขาดตอนระหว่างทำสมาธิ ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนที่เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด ไม่มีคำสอนที่ส่งเสริมหรือสนับสนุนให้ไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ เพราะถ้าไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ ด้วยความเป็นตัวตน จดจ้องต้องการ นั่นไม่ใช่เห็นทางแห่งปัญญา ไม่ใช่หนทางที่จะเป็นไปเพื่อละ เลย มีแต่จะเพิ่มอกุศล มีความไม่รู้ ความติดข้อง ความเห็นผิด เป็นต้น ให้หนาแน่นมากยิ่งขึ้นจนยากที่จะแก้ไขได้
ส่วนใหญ่แล้วเมื่อไม่ได้ฟังพระธรรมไม่ได้ศึกษาพระธรรมโดยละเอียด ก็จะเข้าใจผิดว่าการปฏิบัติธรรมจะต้องไปทำอะไรขึ้นมา ต้องจดจ้องที่ลมหายใจ ต้องนั่งสมาธิ เป็นต้น
แต่แท้ที่จริงแล้ว ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การไปทำ เพราะเหตุว่าปฏิบัติธรรมไม่ใช่การไปทำอะไรที่ผิดปกติขึ้นมา ด้วยความเป็นตัวตนหรือความติดข้องต้องการ แต่ธรรมเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของธรรม นั่นก็คือ สติ และ สัมปชัญญะ (ปัญญา) เกิดขึ้นระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ ตามความเป็นจริง ซึ่งจะต้องอาศัยการฟัง การศึกษาพระธรรมสะสมความเข้าใจในเรื่องของสภาพธรรมไปตามลำดับ เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว การปฏิบัติถูกต้องย่อมมีไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นความเข้าใจถูก เห็นถูก จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งจะต้องค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ จะขาดการฟังพระธรรม ไม่ได้เลยทีเดียว ก็ขอให้ตั้งต้นที่เริ่มฟังพระธรรมให้เข้าใจตั้งแต่ในขณะนี้ ครับ
เพราะฉะนั้นแทนที่จะไปทำสมาธิแล้วเกิดจิตคิดไม่ดี ก็ควรฟังพระธรรมอ่านพระธรรมอันเป็นหนทางที่ถูกต้องในการเจริญปัญญาในพระพุทธศาสนา และ ถ้าเกิดจิตคิดไม่ดีต่อพระรัตนตรัย ก็ขอขมาได้บ่อยๆ ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่นที่สุด ก็ควรตั้งต้นด้วยความเข้าใจจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมไปตามลำดับ ไม่ควรตั้งต้นด้วยการไปทำอะไรด้วยความไม่รู้หรือด้วยความเป็นตัวตน มีความจดจ้องต้องการ เพราะทั้งหมดนั้น เป็นไปกับด้วยความไม่รู้ เมื่อตั้งต้นด้วยความไม่รู้แล้ว ผลก็คือ สะสมความไม่รู้ให้มีมากขึ้น พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้วเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องป้องกันความเข้าใจผิดความเห็นผิด เมื่อได้ศึกษาให้เข้าใจอย่างถูกต้อง ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ไม่ประมาทในพระธรรมแต่ละคำ แม้แต่คำว่าสมาธิ ก็ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ซึ่งถ้าได้ศึกษาแล้วจะเข้าใจว่า สมาธิมีทั้งมิจฉาสมาธิและสัมมาสมาธิ
ถ้ามีความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ที่จะปฏิบัติผิด ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะได้เข้าใจอย่างถูกต้องแล้วนั่นเอง ดังนั้น จึงสำคัญอยู่ที่การค่อยๆ เข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย จากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ปัญญาเป็นพืชที่โตช้าซึ่งจะต้องอาศัยความอดทน ความเพียรที่จะฟัง ที่จะศึกษาต่อไป เพราะผู้ที่เป็นสาวกต้องได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ฟังพระธรรมแล้ว ไม่มีทางที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้เลย ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ..
ทำพร้อมๆ กันไม่ได้รึครับ อย่างน้อยมันก็เป็นกุศลติดตัว
เรียน ความเห็นที่ 3 ครับ
เพราะเราเข้าใจว่าทำสมาธิเป็นการปฏิบัติ และ เป็นกุศล แต่นั่นเป็นความเข้าใจผิด เพราะการนั่งสมาธิไม่ได้ทำให้เกิดปัญญา เพราะฉะนั้นควรละทิ้งหนทางที่ผิด คือ การทำสมาธิเพราะเป็นการสะสมความไม่รู้ แต่ก็เป็นเรื่องยากเพราะเคยทำมาก่อน ก็ติดข้องในสิ่งที่ทำ
หากแต่ว่าปัญญาเกิดเมื่อไหร่ ซึ่งเกิดจากการฟังพระธรรมก็จะรู้ว่าการนั่งสมาธิเป็นหนทางที่ผิดและเลิกทำสมาธิแต่ทำอย่างเดียว คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อันเป็นทางเดียว ไม่มีทางอื่นในการอบรมปัญญา ละกิเลส ครับ
อนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ