พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 57
อยู่กับพระอริยะ แต่ไม่รู้จักพระอริยะ
ดังได้สดับมา อุปัฏฐากของพระเถระผู้ขีณาสพ ผู้อยู่ในจิตตลดาบรรพต บวชเมื่อแก่
อยู่มาวันหนึ่ง เที่ยวไปบิณฑบาตกับพระเถระ
รับเอาบาตรจีวรของพระเถระเดินตามหลังมา
ถามพระเถระว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ บุคคลเช่นไรชื่อว่า พระอริยะ
พระเถระตอบว่า บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนแก่ รับเอาบาตรและจีวรของพระเถระ
ทําวัตรปฏิบัติแม้เที่ยวไปกับพระอริยะ ก็ย่อมไม่รู้จักพระอริยะ
โยม พระอริยะทั้งหลาย รู้ได้ยากอย่างนี้ ดังนี้.
เมื่อพระเถระแม้พูดอย่างนี้ อุปัฏฐากนั้น ก็ยังหารู้ไม่.
เพราะฉะนั้น การเห็นด้วยจักษุ ไม่ชื่อว่าเห็น
การเห็นด้วยญาณเท่านั้น ชื่อว่าเห็น.
สมดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ดูก่อนวักกลิ
ประโยชน์อะไรด้วยกายอันเปื่อยเน่านี้ อันเธอเห็นแล้ว,
ดูก่อนวักกลิ ผู้ใดแล เห็นพระธรรม ผู้นั้นชื่อว่า เห็นเราตถาคต ดังนี้.
เพราะฉะนั้น บุคคลแม้เห็นอยู่ (ซึ่งพระอริยะ) ด้วยจักษุ
แต่ไม่เห็นอนิจจลักษณะ เป็นต้น ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นแล้วด้วยญาณ
และไม่บรรลุธรรมที่พระอริยเจ้าบรรลุแล้ว พึงทราบ ไม่เห็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย
เพราะธรรมที่ทําให้พระอริยะ และความเป็นพระอริยะอันบุคคลนั้นยังไม่เห็น ดังนี้.
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เรื่อง การรู้จักอสัตบุรุษและสัตบุรุษ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ 185
ข้อความบางตอนจาก จูฬปุณณสูตร
ว่าด้วยอสัตบุรุษและสัตบุรุษ
[๑๓๑] ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเหลียวดูภิกษุสงฆ์ซึ่งนิ่ง
เงียบโดยลำดับ จึงตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสัตบุรุษ
จะพึงรู้จักอสัตบุรุษว่า ผู้นี้เป็นอสัตบุรุษหรือไม่หนอ.
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้อนี้หามิได้เลย พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถูกละ ข้อที่อสัตบุรุษจะพึงรู้จักอสัตบุรุษ
ว่า ผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ นั่นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็
อสัตบุรุษจะพึงรู้จักสัตบุรุษว่า ผู้นี้เป็นสัตบุรุษไหมเล่า.
ภิ. ข้อนี้หามิได้เลย พระเจ้าข้า.
พ . ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถูกละ แม้ข้อที่อสัตบุรุษจะพึงรู้จักสัตบุรุษ
ว่า ผู้นี้เป็นสัตบุรุษ นั่นก็ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส.
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขออนุโมทนาค่ะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 581
๓. สังฆาฏิสูตร
ว่าด้วยผู้ประพฤติธรรมอยู่ไกลเหมือนอยู่ใกล้พระองค์
[๒๗๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้ภิกษุจับชายสังฆาฏิแล้วพึงเป็นผู้
ติดตามไปข้างหลังๆ เดินไปตามรอยเท้าของเราอยู่ไซร้ แต่ภิกษุนั้นเป็นผู้มี
อภิชฌาเป็นปกติ มีความกำหนัดแรงกล้าในกามทั้งหลาย มีจิตพยาบาท มี
ความดำริแห่งใจชั่วร้าย มีสติหลงลืม ไม่รู้สึกตัว มีจิตไม่ตั้งมั่น มีจิตหมุน
ไปผิด ไม่สำรวมอินทรีย์ โดยที่แท้ ภิกษุนั้นอยู่ห่างไกลเราทีเดียว และเราก็
อยู่ห่างไกลภิกษุนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะภิกษุนั้นย่อมไม่เห็นธรรม
เมื่อไม่เห็นธรรมย่อมเชื่อว่าไม่เห็นเรา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้ภิกษุนั้นพึง
อยู่ในที่ประมาณ ๑๐๐ โยชน์ไซร้ แต่ภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่มีอภิชฌา ไม่มีความ
กำหนัดอันแรงกล้าในกามทั้งหลาย ไม่มีจิตพยาบาท ไม่มีความดำริแห่งใจชั่ว
ร้าย มีสติมั่น รู้สึกตัว มีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว สำรวมอินทรีย์
โดยที่แท้ ภิกษุนั้นอยู่ใกล้ชิดเราทีเดียว และเราก็อยู่ใกล้ชิดภิกษุนั้น ข้อนั้น
เพราะเหตุไร? เพราะภิกษุนั้น ย่อมเห็นธรรม เมื่อเห็นธรรมย่อมชื่อว่าเห็นเรา.