ขอกราบบูชาคุณพระรัตนตรัย
การอบรมเจริญปัญญารู้สภาพจิตขณะต่างๆ จะทำให้เรารู้จักกิเลสของเราเองได้ดีขึ้นและเราก็จะเห็นว่า สาเหตุของความเศร้าโศก และความทุกข์ทั้งปวง อยู่ในตัวเรานี่เองไม่ใช่นอกตัวเราเลย
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ปกติในชีวิตประจำวัน เราคุ้นเคยกับอกุศลเป็นอย่างมาก เพราะเหตุว่าได้สั่งสมมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ถูกอกุศลกลุ้มรุมอยู่เป็นประจำ ทั้งโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น เป็นทุกข์เพราะกิเลสมามากมายเหลือเกิน ซึ่งเป็นปกติของผู้ที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งหมดได้อย่างเด็ดขาด จึงเห็นได้ว่าในแต่ละวันๆ นั้น อกุศลจิตเกิดบ่อยมาก ดังนั้น การที่จะรู้ลักษณะของอกุศลจิตซึ่งเกิดเป็นประจำตามความเป็นจริง พร้อมกับการที่จะกำจัดกิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) ออกไปจากจิตได้นั้น จะต้องใช้เวลาอันยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา เพราะปัญญานี้เองที่จะเป็นสภาพธรรมที่ดับกิเลสได้ ดับทุกข์ทั้งปวงได้ดับความเศร้าโศกได้จึงต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริงที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เพราะการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม นั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลที่จะทำให้เป็นผู้เห็นกิเลสที่เกิดกับตนตามความเป็นจริง ยิ่งได้ฟังถึงเรื่องของสภาพธรรมบ่อยๆ เนืองๆ ก็เป็นโอกาสที่จะทำให้มีการพิจารณาสภาพธรรมตามความเป็นจริง และเป็นผู้ไม่ประมาทในการดำรงชีวิต ด้วยครับ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ต้องอบรมปัญญาบ่อยๆ เนืองๆ ค่อยๆ เจริญยิ่งขึ้น ถ้าปัญญาเกิดก็จะรู้ว่าแม้ความ
เศร้าโศกเพราะกิเลสก็ไม่ใช่เรา เป็นธรรมะที่เกิดแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีสาระค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
การอบรมเจริญปัญญารู้สภาพจิตขณะต่างๆ จะทำให้เรารู้จักกิเลสของเราเองได้ดีขึ้นและเราก็จะเห็นว่า สาเหตุของความเศร้าโศกและความทุกข์ทั้งปวง อยู่ในตัวเรานี่เองไม่ใช่นอกตัวเราเลย
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ท่านทั้งหลาย ผู้อันสุขและทุกข์ถูกต้องแล้วในบ้าน ในป่า ไม่ตั้งสุขและทุกข์นั้นจากตน ไม่ตั้งสุขและทุกข์นั้นจากผู้อื่น ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้อง
เพราะอาศัยอุปธิ (ขันธ์ 5) ผัสสะทั้งหลายพึงถูกต้อง นิพพานอันไม่มีอุปธิเพราะเหตุไรเล่า. (สักการสูตร) ความเศร้าโศก สุข ทุกข์มีเพราะขันธ์ 5 เพราะเมื่อมีขันธ์ 5 หรือสภาพธรรมก็ย่อมเห็นได้ยิน และก็มีกิเลสทำให้สุขและทุกข์ เมื่อสุขและทุกข์เกิดขึ้น ก็สำคัญว่าเป็นเราที่สุขและทุกข์ มีคนอื่นทำให้สุขและทุกข์ แต่เมื่อเข้าใจความจริงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสคาถานี้ไว้แสดงให้เห็นว่า เมื่อไม่มีเรา มีแต่ขันธ์ 5 มีสภาพธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้น ไม่มีเราที่สุขและทุกข์ ไม่มีผู้อื่นที่ทำให้สุขและทุกข์ แต่สภาพธรรมเกิดขึ้นและดับไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้น ไม่มีเราและบุคคลอื่นที่สุขและทุกข์เลย แม้เข้าใจขั้นการฟังก็จะไม่โทษใครว่าทำให้ทุกข์หรือสุขเพราะไม่มีเรา ไม่มีคนอื่นมีแต่สภาพธรรม ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงว่า เมื่อไม่มีขันธ์ 5 ก็ไม่ต้องประสบสิ่งที่เป็นสุขและทุกข์ ดังนั้นพวกเธอเมื่อไม่ปรารถนาสิ่งที่เป็นทุกข์ประการต่างๆ มีความเศร้าโศก เป็นต้น ก็ควรอบรมปัญญาเพื่อดับขันธ์ 5 นั่นคือการอบรมปัญญาที่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ขออนุโมทนาครับ อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
อกุศลกลุ้มรุมจิตใจเป็นส่วนใหญ่ของชีวิต เกือบตลอดเวลาในแต่ละวัน
แต่ขณะใดที่ระลึกได้ว่าเวลากำลังสูญไปกับกิเลสเปล่าๆ
ขณะที่ระลึกได้ถึงพุทธพจน์ที่ท่านอาจารย์สุจินต์นำมาแสดงนั้น
ก็จะรู้สึกมีกำลังใจ ตั้งใจฟังธรรม
ตั้งใจทำการงานของแต่ละวันได้ต่อไป แล้วก็ฟังธรรมอีก
ที่แท้แล้ว ทุกอย่างก็อยู่ที่เรา ทั้งสุขและทุกข์
เราคิดเอง เราทำไว้เอง ไม่มีใครทำให้เลย
ขออนุโมทนาคุณนพรัตน์
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
ปัญญานี้เองที่จะเป็นสภาพธรรมที่ดับกิเลสได้ ดับทุกข์ทั้งปวงได้ดับความเศร้าโศกได้ จึงต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริงที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เพราะการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลที่จะทำให้เป็นผู้เห็นกิเลสที่เกิดกับตนตามความเป็นจริง ยิ่งได้ฟังถึงเรื่องของสภาพธรรมบ่อยๆ เนืองๆ ก็เป็นโอกาสที่จะทำให้มีการพิจารณาสภาพธรรมตามความเป็นจริง และเป็นผู้ไม่ประมาทในการดำรงชีวิต
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ถ้าร่างกายสบายดี แต่จิตใจกลับเศร้าหมองขณะนั้นไม่ใช่การรับผลของกรรมจริงๆ ไม่ใช่เรา แต่เป็นเพราะธรรมะฝ่ายอกุศลที่สะสมมาเป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์เศร้าโศก เสียใจแต่ความจริงแล้ว แม้แต่ขณะที่สุขหรือขณะที่เฉยๆ ทุกขณะทั้งหมดนั้นก็เป็นธรรมเมื่อเรายังไม่รู้ว่าเป็นธรรมก็ต้องค่อยๆ อบรมเจริญปัญญากันต่อไปครับ
...ขออนุโมทนาครับ...